Blade Runner


"Man has made his match... Now it's his problem."



ประเภท Dystopian Sci-Fi Thriller
กำกับโดย Ridley Scott
เขียนบทโดย Hampton Fancher, David Webb Peoples
บทภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง "Do Androids Dream of Electric Sheep?"

เขียนโดย Philip K. Dick
นำแสดงโดย Harrison Ford, Rutger Hauer, Sean Young
ปี 1982






เรื่องราวของ ริค เด็คการ์ด นายตำรวจหน่วยพิเศษซึ่งมีชื่อเรียกว่า 'เบลด รันเนอร์' มีหน้าที่ในการสืบสวนและตามสังหาร (ในเรื่องใช้คำว่าปลดเกษียณ) 'เรพลิแคนท์' (Replicant) ซึ่งเป็นมนุษย์เทียมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นแรงงานแทนมนุษย์ในการสำรวจและสร้างอาณานิคมนอกโลก หรือที่เรียกว่า 'Off World โดยมีฉากหลังเป็นนครลอสแองเจลิส ในปี 2019 หรืออีก 5 ปีในอนาคต
บริษัท ไทเรลล์ คอร์เปอเรชัน ได้พัฒนาเรพลิแคนท์ไปจนถึงรุ่น Nexus ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์เกือบทั้งหมด คือมีเลือดเนื้อ หรือแม้กระทั้งมีความทรงจำ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ ทั้งความรัก อาการเสียใจ อาการโกธรแค้น และสามารถมีเซ็กซ์เหมือนมนุษย์ได้
เรพลิแคนท์เหล่านี้เหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออก ซึ่งการจะแยกแยะได้ ต้องดูที่ดวงตาว่าจะมีอาการตอบสนองอย่างไร เมื่อมีการทดสอบด้วยการถามคำถาม

ตำรวจหน่วยเบลด รันเนอร์คนหนึ่งถูกเรพลิแคนท์ชื่อ ลีออน ยิงอาการปางตายในระหว่างที่ลีออนถูกบังคับให้ตอบคำถาม เพื่อทดสอบว่าเขาเป็นมนุษย์หรือเรพลิแคนท์ ทำให้เด็คการ์ดซึ่งลาออกไปแล้ว ถูกเรียกให้กลับมาทำงานอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้เต็มใจนักเหมือนถูกบังคับ
หน้าที่ของเขาคือจัดการเรพลิแคนท์ 4 ราย ซึ่งหลบหนีเข้ามาในลอสแองเจลิสอย่างผิดกฎหมาย และเนื่องจากอายุขัยของเรพลิแคนท์ถูกกำหนดให้มีเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุให้ รอย แบตตี ผู้นำการก่อกบฏที่อาณานิคมนอกโลก ลักลอบเข้ามาในเมืองนี้เพื่อตามหาไทเรลล์ ผู้ให้กำเนิดพวกมัน และบังคับให้ผู้สร้างเปลี่ยนแปลงค่าอายุขัย เพื่อจะทำให้ตนเองมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น...

จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาทำให้ทราบว่าหนังเรื่องนี้มีถึง 4 เวอร์ชัน!
โดยเวอร์ชันแรก ออกฉายเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของผู้ชมในรอบพรีวิว ในปี 1982 แต่ปรากฎว่า ผู้ชมส่วนใหญ่กลับรู้สึกงุนงง และสับสนกับเนื้อเรื่อง

ผู้บริหารสตูดิโอแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ด้วยการให้สก็อตต์เพิ่มเติม 2 ส่วนด้วยกัน (เรียกได้ว่าสก็อตถูกสตูดิโอเข้ามาแทรกแซงการตัดต่อ) คือให้ใส่เสียงบรรยายของเด็คการ์ด (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) ตัวเอกของเรื่องเข้าไปเพื่อขยายความในหลายๆ ช่วงที่คลุมเครือ และให้เปลี่ยนตอนจบของเรื่องที่ลงเอยอย่างค่อนข้างหม่นหมองให้ดูสดใส และแฮปปี้เอนดิ้ง ส่งผลให้หนังเต็มไปด้วยเสียงบรรยาย เพราะกลัวคนดูไม่เข้าใจ พร้อมบทสรุปแบบตามสูตร กลายเป็นเวอร์ชันที่ฉายในโรงภาพยนตร์ ณ ขณะนั้น

แต่ 10 ปีต่อมา คือปี 1992 สก็อตก็นำหนังเรื่องนี้มาตัดต่อใหม่อีกครั้งเป็นเวอร์ชัน Director’s Cut เขาตัดเสียงบรรยายที่ฟังดูไร้ชีวิตชีวาของตัวเอกออกไป พร้อมทั้งแก้ไขรายละเอียดบางส่วนในแง่ของโครงสร้าง และสรุปเรื่องทั้งหมดในลักษณะที่ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

จากนั้นอีก 15 ปีต่อมา คือปี 2007 สก็อตก็นำหนังเรื่องนี้มาปรับปรุงใหม่อีกครั้ง เป็นเวอร์ชัน The Final Cut และได้บอกว่านี่เป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด ภาพและเสียงได้รับการปรับแต่งใหม่ทั้งหมด
ความเห็นจากคนดูหลายท่านบอกว่า หนังดูรู้เรื่องมากขึ้น และเปิดโอกาสให้คนดูได้ใช้จินตนาการตีความมากขึ้น ไม่ชี้นำจนเกินไปเหมือนเวอร์ชันดั้งเดิมที่ฉายในโรงภาพยนตร์

เรื่องนี้นำเสนอ 'ดิสโทเปีย' (โลกอนาคตในจินตนาการที่หม่นหมองตรงกันข้ามกับคำว่า ยูโทเปีย) ลักษณะการดำเนินเรื่องเหมือน Film Noir คือแสดงให้เห็นด้านมืดภายในจิตใจของตัวละคร บรรยากาศก็มีความหม่นหมองทั้งเรื่อง คือเหตุการณ์มักเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน และมักจะมีฝนตก
ในตอนแรกที่ออกฉาย หนังไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านรางวัลและรายได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญ และได้รับการยกย่องมากขึ้น จนกลายเป็นหนังยอดเยี่ยมสำหรับใครหลายคน และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังอีกหลายเรื่อง จนในที่สุด ก็มีสถานะเป็นหนังที่เรียกว่า Cult Films หรือหนังประเภทที่มีกลุ่มสาวกที่หลงใหล และอุทิศความสนใจทั้งหมดให้กับการค้นหารายละเอียดต่างๆ ในหนังอย่างจริงจัง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น Masterpiece ของ ริดลีย์ สก็อตต์ อย่างแท้จริง
.....

Of Mice And Men


"สุดท้าย เมื่อความฝันจบลง เราไม่มีอะไรเหลือ นอกจากความเป็นเพื่อน"

ประเภท นวนิยาย
เขียนโดย John Steinbeck
แปลโดย ประชา อัตตธร
ปี 1937
สำนักพิมพ์ สร้างสรรค์บุ๊คส์



เรื่องราวของกรรมกรหนุ่มสองคน จอร์จ มิลตัน และเพื่อนหนึ่งเดียวของเขา เลนนี่ สมอลล์

เลนนี่เป็นชายร่างใหญ่ แข็งแรง มีกำลังมหาศาล แต่ด้อยปัญญา สมองของเขาบกพร่อง ทำให้มีความไร้เดียงสาเหมือนเด็ก ส่วนจอร์จเป็นชายร่างเล็ก แต่ฉลาดและรอบคอบ หลังจากป้าของเลนนี่ตาย จอร์จต้องรับทำหน้าที่ดูแลและคุ้มครองเลนนี่ เขาจึงต้องเป็นผู้นำและคอยวางแผนทุกอย่าง

ทั้งสองคนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีครอบครัว พวกเขามีแต่ความฝัน
ทั้งสองมีความฝันร่วมกันคือ เก็บเงินให้ได้มากพอ และซื้อที่ดินผืนเล็กๆ เป็นของตัวเอง เพื่อทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ อยู่กันอย่างสงบสุข จอร์จก็ปลูกพืชผักขาย ส่วนเลนนี่ก็เลี้ยงกระต่าย เพราะเขาชอบลูบคลำขนอ่อนนุ่มของมัน แต่เลนนี่เป็นคนมือหนัก เขาชอบเล่นกับหนู และบ่อยครั้งที่บีบมันตายโดยไม่ได้เจตนา

ทั้งสองตกงาน พวกเขาพากันเดินทางไปทั่วเพื่อหางาน โดยฉากหลังเป็นหุบเขาและแม่น้ำซาลินาส์ เมืองโซลิแดด รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ
ในที่สุดพวกเขาก็ได้งานใหม่ที่ไร่แห่งหนึ่ง และได้พบกับ แคนดี้ กรรมกรสูงวัยที่แขนด้วนไปข้างหนึ่ง

วันหนึ่ง จอร์จกับเลนนี่คุยกันเรื่องบ้านไร่ในฝัน แคนดี้ได้ยิน เขาอยากจะมีส่วนร่วมในความฝันนี้ จึงบอกว่า มีที่ดินแห่งหนึ่ง ถ้าพวกเขาสามคนลงขันกัน ก็น่าจะเป็นเจ้าของได้ และในตอนสิ้นเดือนทั้งสามคนได้รับเงินเดือน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็เป็นจำนวนสามในสี่ของเงินทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ
ดูเหมือนความฝันของทั้งสามกำลังจะเป็นจริง...

ชื่อเรื่อง Of Mice And Men มีที่มาจากกลอนบทหนึ่งของกวีชาวอังกฤษชื่อ โรเบิร์ต เบิร์นส์ ที่ว่า "The hest-laid schemes o´ mice and men gang aft agley" ซึ่งตีความได้ว่า "ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายของเขาได้"

เป็นหนังสือที่มีโทนหม่นๆ ฉากหลังเป็นชนบทที่แร้นแค้นมากของอเมริกา
คนสองคนที่เป็นเพื่อนกันด้วยความจริงใจ คนหนึ่งตัวเล็กมีสมอง อีกคนตัวใหญ่ไร้สมอง มีแต่เเรง คนตัวเล็กก็คอยใช้ประโยชน์จากคนตัวใหญ่ แต่ในอีกทางหนึ่งก็เหมือนเป็นภาระที่ต้องคอยดูแลด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าตัวใหญ่ก็มักจะคอยสร้างปัญหาให้อยู่เสมอ มันเป็นมิตรภาพของเพื่อนที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งน่าคิดว่า ถ้าจอร์จอยู่ด้วยตัวเองโดยไม่มีเลนนี่เป็นตัวถ่วง ชีวิตจะดีกว่านี้หรือไม่
และเรื่องนี้ยังได้ตั้งคำถามอีกว่า เราสามารถตัดสินชีวิตคนอื่นได้จริงหรือ...

*แนะนำผู้ที่อ่านครั้งแรก ห้ามอ่านคำนำของ บรรณาธิการบริหาร เด็ดขาด ให้ข้ามไปอ่านเนื้อเรื่องเลย เพราะเขาดันสปอยล์ตอนจบเฉยเลย ถ้าเผลอไปอ่านแล้วเสียอรรถรสแน่นอน

.....

Why Does It Always Rain On Me?

























I can't sleep tonight
Everybody saying everything's alright
Still I can't close my eyes
I'm seeing a tunnel at the end of all these lights
Sunny days
Where have you gone?
I get the strangest feeling you belong

Why does it always rain on me?




















มีสำนวนหนึ่ง กล่าวไว้ว่า "When it rains, it pours." (เมื่อฝนตก มักจะตกหนัก)
หมายถึง เมื่อไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมานาน จู่ๆ ก็จะเกิดขึ้นแบบถล่มทลาย


ยกตัวอย่างเช่น ทำงานพลาด แล้วถูกไล่ออก โมโหเลยขับรถเร็ว รถชนกัน เจ็บเข้าโรงพยาบาล ไม่มีเงินจ่าย ทะเลาะกับแฟน แฟนทิ้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน...

จริงๆ แล้ว สำนวนนี้ใช้เปรียบเทียบทั้งเรื่องดี และไม่ดี
ในทางที่ดี เช่น เมื่อไม่มีลูกค้าเข้าร้านมาหลายวัน วันต่อมาลูกค้าก็เข้ามาพร้อมๆ กันจนทำงานไม่ทัน เป็นต้น


แต่ 'ฝน' มักจะใช้เปรียบเทียบในสิ่งที่ 'แย่' มากกว่า
เพราะฝนตกทีไร ก็เห็นมีแต่คนวิ่งหนี
.....

Insomnia


"หนังฟิล์มนัวร์ ที่ไม่มีฉากกลางคืน!"







































ประเภท Psychological Thriller Film-Noir
กำกับโดย Christopher Nolan
เขียนบทโดย Hillary Seitz
บทภาพยนตร์ต้นฉบับปี 1997 เขียนโดย Nikolaj Frobenius และ Erik Skjoldbjærg
นำแสดงโดย Al Pacino, Robin Williams, Hilary Swank
ปี 2002



เรื่องราวของนักสืบ วิล ดอร์เมอร์ นายตำรวจลอสแองเจลลิส ถูกส่งมาพร้อมกับ แฮ็ป เอ็คฮาร์ต คู่หูของเขา เพื่อมาไขคดีฆาตกรรมหญิงสาววัย 17 ปี ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน เวลากลางคืนก็ยังมีแสงแดดเหมือนกลางวัน และต้องร่วมมือกับ เอลลี่ เบอร์ ตำรวจท้องถิ่น ในการไขคดีนี้

เขาเป็นตำรวจที่เก่งมาก มีความละเอียดละออในการสืบสวนสอบสวน คดีของเขาหลายคดีกลายเป็นกรณีศึกษาในโรงเรียนตำรวจ ทำให้เขาเป็นขวัญใจของเบอร์มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนตำรวจ

ดอร์เมอร์และเอ็คฮาร์ต ถูกตรวจสอบจากกองกิจการภายในจากความผิดในคดีหนึ่ง ซึ่งคู่หูของเขาพร้อมจะยอมรับผิด ทำให้คนร้ายที่เคยจับได้จะหลุดเป็นอิสระ รวมทั้งคดีความต่างๆ จะถูกสอบสวนใหม่ทั้งหมด ดอร์เมอร์ยอมไม่ได้หากคนร้ายที่มีความผิดจริงแต่กลับต้องลอยนวล แตกต่างจากคู่หูของเขา ที่ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร ขอเพียงตัวเองรอด
ในระหว่างที่อยู่เมืองนั้น ดอร์เมอร์ก็มีอาการนอนไม่หลับ เพราะแสงแดดสว่างจ้าที่ส่องเข้ามาในห้อง ซึ่งเขาก็เข้าใจว่าเพราะแสงจึงนอนไม่หลับ

ทั้งคู่สืบคดีจนใกล้จะจับคนร้ายได้แล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์พลิกผัน เมื่อดอร์เมอร์เจอเบาะแสคนร้ายใกล้กระท่อมริมน้ำ จึงนำตำรวจไปดักรอ แต่ด้วยความประมาทของตำรวจท้องถิ่นทำให้คนร้ายไหวตัวทัน เขาจึงต้องวิ่งไล่ตามคนร้าย ตำรวจรายหนึ่งถูกยิงบาดเจ็บแต่เขายังวิ่งไล่ตามคนร้ายไปในสภาพที่หมอกลงจัด ระหว่างมองหาคนร้ายอยู่นั้น ดอร์เมอร์ก็เห็นเงาคนหนึ่ง จึงใช้ปืนสำรองยิงไปในทันที แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ กลับพบว่าคนที่ถูกยิงนั้นเป็นเอ็คฮาร์ตคู่หูของเขาเอง!
แต่เขากลับบอกตำรวจคนอื่นที่มาพบศพว่า คนร้ายเป็นคนยิง!...

เรื่องนี้รีเมคจากภาพยนตร์ของนอร์เวย์ ที่ใช้ชื่อเดียวกันในปี 1997
เป็นหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่องแรกที่ข้าพเจ้าได้ดู เรียกได้ว่าเรื่องนี้ 'จุดประกาย' ทำให้ข้าพเจ้าไปตามดูหนังของโนแลนเรื่องก่อนๆ อาทิ Memento และ Following เพราะชอบที่เขาเอาประเด็นเรื่องของจิตวิทยา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มาใส่ไว้ในหนังด้วย และเคยได้อ่านคำนิยมของนักวิจารณ์ท่านหนึ่งที่บอกว่า "An instant classic. A thriller of Hitchcockian proportions." ก็ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ข้าพเจ้าเริ่มตามดูหนังเก่าๆ ของปรมาจารย์หนังระทึกขวัญอย่าง อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก

หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้สำรวจลึกลงไปในจิตใจของคนว่า แท้จริงแล้วความดีกับความเลว มันตัดสินที่ตรงไหน เพราะบางทีเส้นแบ่งระหว่างความดีและความเลวนั้น มันอาจเป็นเส้นบางๆ กั้น และคาบเกี่ยวหรือซ้อนทับกันอย่างไม่น่าเชื่อ ความคิดใต้จิตสำนึกที่ดี แต่การกระทำที่แสดงออกมาก็อาจเป็นไปในทางที่ผิดก็ได้

.....

เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว


"ทำไมตัวละครของท่านคนนี้จึงใช้ปี่เป็นอาวุธ?"
"เพราะดนตรีเป็นสัญลักษณ์ของความรัก มีแต่รักเท่านั้นที่เป็นอาวุธยิ่งใหญ่ หากตอนนี้ข้ามีสักเลา จะเป่าให้เจ้าฟัง"
(สุนทรภู่ ตอบคำถามหนึ่งแก่ ดารันตร์)



ประเภท รวมเรื่องสั้น Sci-Fi
เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ
ปี 2538
สำนักพิมพ์ 113

หนังสือรวมเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ชุดแรกของ วินทร์ เลียววาริณ นักเขียน 'ดับเบิ้ล ซีไรต์' อีกคนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งมีทั้งหมด 12 เรื่อง แต่ละเรื่องไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกันแต่อย่างใด สามารถแยกอ่านได้

เรื่อง "เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว" เรื่องเอกของเล่ม ซึ่งเป็นชื่อหนังสือด้วยนั้น กล่าวถึง สุนทรภู่ ในวัยหนุ่ม ที่กำลังติดคุกอยู่ ระหว่างที่ติดคุกนั้น เขาได้พบกับบุคคลหนึ่งที่มาจากต่างภพ (หรืออาจเป็นต่างดาว) ที่เขาตั้งชื่อให้ว่า 'ดารันตร์' ซึ่งมักจะมาปรากฏกายในคืนที่เขากำลังเมา และเหงา
เพื่อนต่างภพคนนั้นบอกกับเขาในวันที่พบกันครั้งแรกว่า "เรามาค้นหาทางผ่านสู่ประตูแห่งเอกภพ"...

เนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวิถีชีวิตและภารกิจของผู้คนในโลกอนาคต เช่น การสำรวจและค้นหาดาวดวงใหม่มาเป็นอาณานิคม การทำโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ภายใต้ฉากของโลกอนาคตนั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในปัจจุบัน ที่ส่งผลไปถึงอนาคต
และยังเชื่อมโยงหลักปรัชญาและศาสนาเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว เช่น ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด 
แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโลกอนาคต แต่การกระทำของผู้คนในเรื่องก็ไม่ต่างจากปัจจุบัน คือมีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีความเห็นแก่ตัว มีความรัก มีความโลภ เรียกได้ว่า ตัวละครก็ยังเป็นคนที่ล้วนมีกิเลสอยู่นั่นเอง 
โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าชอบเรื่อง "พระเจ้าองค์สุดท้าย" มากที่สุด

เรื่องสั้นบางเรื่อง ผู้เขียนก็ได้แอบเสียดสีสังคมเอาไว้อย่างสนุกสนานและน่าสนใจ แต่หากมองลึกลงไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ตลกร้าย หรือเรียกกันว่าเรื่อง 'ขันขื่น' เพราะจินตนาการเหล่านั้นได้สะท้อนให้เห็นภาพความจริงที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน
.....

When Injustice Becomes Law



"When injustice becomes law, resistance becomes duty."

(เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การต่อต้านก็กลายเป็นหน้าที่) 
เป็นวาทะที่ โธมัส เจฟเฟอร์สัน จารึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 1776 

โธมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นนักประดิษฐ์ นักคิด-นักเขียน เป็นนักต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เป็นหนึ่งในขบวนการต่อสู้กับอังกฤษเพื่อแยกตัวเป็นอิสรภาพ เป็นทูตอเมริกาในฝรั่งเศส เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกและประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

แต่บทบาทที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็น 1 ใน 5 (อีก 4 คนคือ จอห์น อดัมส์, เบนจามิน แฟรงคลิน, โรเบิร์ต ลิฟวิงสตัน และโรเจอร์ เชอร์แมน) ที่ร่วมร่างคำประกาศเอกราช (The Declaration of Independence) ที่สภาอเมริกาอนุมัติในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776


ที่มา: วินทร์ เลียววาริณ winbookclub.com

Alive



"The Miracle of The Andes"




ประเภท Biographical Survival Drama
กำกับโดย Frank Marshall
เขียนบทโดย John Patrick Shanley
บทภาพยนตร์อ้างอิงจากหนังสือ "Alive : The Story of the Andes Survivors" ซึ่งเขียนโดย Piers Paul Read
นำแสดงโดย Ethan Hawke, Vincent Spano, Josh Hamilton
ปี 1993






ภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในปี 1972 นักกีฬารักบี้เยาวชนชาวอุรุกวัยของทีม Old Christians เดินทางด้วยเครื่องบินพร้อมญาติๆ และลูกเรือรวม 45 คนเพื่อไปแข่งขันรักบี้ที่ประเทศชิลี
พวกเขาออกเดินทางจากสนามบิน Carrasco ประเทศอุรุกวัย และต้องบินเลาะเทือกเขาแอนดีสไปลงที่สนามบิน Pudahuel เมืองซานติอาโก้ ประเทศชิลี
แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนักจนเครื่องบินไม่สามารถพยุงตัวอยู่กลางอากาศได้ ทำให้เครื่องบินลดระดับลงต่่ำเรื่อยๆ จนชนกับภูเขาขาดเป็นสองท่อนและตกลงบนเทือกเขาแอนดีส ที่ปกคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บแบบสุดขั้ว

นักบินและนักกีฬาบางส่วนตายในทันที ส่วนคนที่รอดมาได้ ก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบ และมีพายุหิมะ พวกเขาไม่มีอาหารและน้ำ ไม่มีเครื่องนุ่งห่มสำหรับอากาศหนาว ต้องหลบอยู่ในซากเครื่องบินที่เหลือแต่ส่วนลำตัวเครื่อง ประทังชีวิตด้วยช็อคโกแลตที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย และกินน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ เมื่อมีคนตายเพิ่ม พวกเขาก็ขนศพออกไปไว้ข้างนอก และฝังไว้ใต้หิมะ

ในตอนแรกพวกเขาหวังว่าจะติดอยู่บนเขานี้เพียงแค่หนึ่งวันหรือสองวันเท่านั้น เพราะหวังว่าจะต้องมีหน่วยกู้ภัยมาช่วยเหลือ แต่หลังจากเครื่องตกได้สิบวัน ความหวังว่าจะมีคนมาช่วยก็สิ้นสุดลง เมื่อคนที่เป็นหัวหน้าทีมรักบี้ จับความจากเสียงวิทยุได้ว่า ทางการได้ยุติการค้นหาแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้รอดชีวิต!

ความหิวทำให้ร่างกายพวกเขาอ่อนแอลงจนถึงขั้นอันตราย พวกเขาจึงมีความคิดใหม่ คือการนำศพของคนที่ตายไปแล้วมาเป็นเสบียง โรเบอร์โต คาเนสซาและนันโด ปาร์ราโด ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำในตอนนั้น ยืนยันว่าพวกเขาต้องกินอาหารถึงจะมีชีวิตรอดไปได้ และอาหารเพียงอย่างเดียวที่หาได้ตรงนั้นก็คือ ศพของเพื่อนๆ ของเขาเอง ที่ถูกฝังไว้ใต้หิมะ
คิดดูว่า มันยากแค่ไหนในการต้องกินเนื้อคน และยากแค่ไหนในการต้องกินเนื้อคนดิบๆ! แถมศพนั้นยังเป็นเพื่อนตัวเองอีกด้วย

[ส่วนนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]

60 วันหลังจากเครื่องบินตก นันโด คาเนสซา และอันโตนิโอ วิซินติน (ตินติน) ออกเดินไปเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง หลังจากพยายามทำมาหลายครั้ง ทั้งสามเดินข้ามเขาไปหลายลูก แต่หลังจากเดินมา 10 วันก็ยังเห็นแต่ภูเขา ไม่มีวี่แววจะเจอบ้านคน อีกทั้งเสบียงอาหารก็เริ่มน้อยลง วิซินตินมอบเสบียงส่วนของตัวเองให้กับอีกสองคน แล้วกลับไปยังซากเครื่องบิน
แต่นันโดรู้ดีว่า เขาหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว หากเขากลับไป จะไม่มีโอกาสมาอีก จะต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น...

หนังสร้างมาจากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตที่ถ่ายทอดไว้ในหนังสือ เรื่องจึงค่อนข้างตรงกับเรื่องจริง บทภาพยนตร์เขียนได้กระชับดี ไม่ยืดยาด ไม่ดราม่าฟูมฟาย และไม่ขายความหดหู่มากจนเกินไป แต่หนังได้เน้นในเรื่องของ ภาวะความเป็นผู้นำในยามวิกฤต เรื่องความพยายามและความอดทนของผู้รอดชีวิต ที่แม้จะผ่านไปสักกี่วัน ก็ไม่ยอมทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนที่นันโดพยายามพูดปลุกใจคาเนสซา ที่อยู่ในสภาพหมดกำลังใจหลังจากต้องอยู่บนเขามาถึง 70 วัน ให้ฮึกเหิมอีกครั้ง เพื่อเดินหน้าต่อไปด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่า 50 ไมล์ (ที่เขาคิดตอนนั้น) ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บสุดขั้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย

เมื่อได้ดูและได้อ่านสารคดีเรื่องราวของพวกเขา ก็กลับมาคิดได้ว่า ปัญหาชีวิตที่เราเจออยู่ทุกวันนี้ มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่นันโดและเพื่อนๆ ของเขาได้ประสบมาเมื่อ 40 ปีก่อน

.....