ปีกขาว





เหล่าปักษาสีขาวได้คอยเฝ้าวอน


เพื่อให้พวกมันมีปีกสักคู่หนึ่งเพื่อบินไป


หากมนุษย์เราเฝ้าวอนขอเหมือนดังนกเหล่านั้น

ความฝันของเธอคงจะเป็นจริงในสักวัน





เหตุใดเหล่าดอกไม้บานนี้...จึงให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน



ด้วยจิตใจที่อ่อนโยนเช่นนั้น...ถึงมีน้ำตาที่หลั่งริน

ในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งและสงคราม

ความงามของดอกไม้เป็นเพียงส่วนเกินของโลกใบนี้





ถึงเวลาที่จะไปสู่ดินแดนแห่งความฝัน



มีคำที่บอกกันอยู่เสมอว่า... "ขอให้ฝันดี"

ณ ที่แห่งนั้นจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง...คอยบอกกับเธอ

คือทุกความจริงที่มีอยู่ในโลกใบนี้





เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในยามรุ่งเช้า...เธอก็จะลืม



ทุกคำที่ได้ยินในฝัน...ล้วนมลายหายไป

แต่ในมือของเธอนั้นกลับมีปีกสีขาวคู่น้อย

ที่เธอได้เก็บเอามาจากโลกแห่งมายานั้น





จงปล่อยปีกสีขาวคู่นั้นไปจากมือเธอเสียเถิด



ปล่อยให้มันได้บินไป...เพื่อนำพาความหวังสู่ฟากฟ้า

ปล่อยให้มันได้บินไป...เพื่อนำพาสันติสู่ผืนแผ่นดิน

และมันจะลอยล่องไปจนถึงจิตใจของมนุษย์อันบริสุทธิ์ล้น




ธีร์ ชัยกรณ์
13 / 03 / 2010

น้ำตกแห่งนิรันดร์




เมื่อเขายังเด็ก แม่มักจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ

  แม่เล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งได้ค้นพบ กล่องวิเศษ ซึ่งสามารถบันดาลสิ่งที่เขาต้องการได้ทั้งหมด ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใดก็จะได้ตามใจปรารถนา เขากินข้าวกินปลาจากกล่องนั้นเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที...

     “กล่องใบนั้นมีจริงไหมครับ?” เขาถามแม่

     “ไม่มีหรอกจ้ะ มันเป็นแค่นิทานเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกนะ”

     “คงจะดีนะครับ ถ้าโลกของเรามีของวิเศษแบบนั้น คงเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีแต่ความสุข”

     “โลกที่สมบูรณ์แบบเป็นแค่โลกในอุดมคติเท่านั้น มันไม่มีจริงหรอกนะ”

     “เราก็สร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเราเองสิครับ อนาคตข้างหน้ามนุษย์จะสร้างกล่องวิเศษได้ไหมครับ แม่?”

    “ถ้าเรามีความพยายามก็ต้องสำเร็จแน่นอน ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าเรามีความตั้งใจนะจ๊ะ วาริณ...”


เมื่อเธอยังเด็ก แม่มักจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ

    แม่เล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหญิงคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในสวนดอกไม้ เธอชอบเด็ดดอกไม้มาร้อยมาลัยเป็นประจำทุกวัน จนดอกไม้เหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่ง เด็กคนนั้นพบว่า ไม่มีดอกไม้หลงเหลือให้เธอเด็ดอีกต่อไป...

     “ทำไมดอกไม้จึงหายไปหมดล่ะคะ?” เธอถามแม่

     “ก็เพราะเด็กคนนั้นเก็บไปมากเกินความจำเป็น ดอกไม้จึงหมดไปอย่างรวดเร็ว”

     “ในเมื่อดอกไม้เป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาติ เราจะเก็บมามากๆ ไม่ได้หรือคะ?”

    “เราควรใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียง เพราะสิ่งเหล่านี้มีจำนวนจำกัด สักวันหนึ่งก็คงจะหมดไปจากโลกนี้”

     “ถ้าอย่างนั้น... จะมีสิ่งใดที่สามารถใช้ได้ชั่วนิรันดร์ไหมคะ แม่?”

     “ไม่มีหรอกจ้ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลย่อมมีวันสูญสลายนะจ๊ะ สายธาร...”

- 1 -

ในห้องบรรยาย นักวิทยาศาสตร์หนุ่มไฟแรงนามว่า วาริณ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะนักวิจัย กำลังนำเสนอผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเครื่องสร้างสสารจากอะตอม

      “...โลกในปัจจุบันมีประชากรมหาศาล ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ประชากรล้นโลกนี้ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ และกำลังจะหมดไปจากโลกนี้ในอนาคตข้างหน้า...”

     ในระหว่างที่เขากำลังบรรยาย มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนั้น เธอนั่งลงที่เก้าอี้แถวหลังสุด

    “…เราไม่มีทางหาอาหารได้เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรทั้งโลก อีกทั้งแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติและป่าไม้ก็เริ่มเสื่อมโทรมลงจากฝีมือของมนุษย์เอง...”

     เธอเป็นคนสวย หน้าตาหมดจดงดงาม ราวกับเทพธิดา เธอทำให้เขาพูดสะดุดหลายครั้ง เมื่อได้มองหน้าเธอ

     “…หากไม่มีพลังแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เราคงไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้...”

     เขาเหลือบมองหน้าเธอแวบหนึ่ง ในเวลาเดียวกับที่เธอมองเขาพอดี สายตาของเขาและเธอประสานกัน ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย

    “…วันนี้พลังแห่งวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปอีกครั้ง ด้วยผลงานวิจัยของพวกเรา สิ่งนั้นก็คือ เครื่องสร้างสสารจากอะตอม เราตั้งชื่อมันว่า ยูโธเปีย หลักการของเครื่องนี้ก็คือ วิเคราะห์สสารที่เราอยากจะสร้างอย่างละเอียดในระดับอะตอม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เราก็จะรู้ว่ามันประกอบด้วยอะตอมของธาตุอะไรบ้าง เรียงตัวกันอย่างไร แล้วใช้ข้อมูลนั้นสร้างมันขึ้นมาจากอะตอมอิสระที่เราใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งตอนนี้เราสามารถสร้างโมเลกุลง่ายๆ ได้แล้ว อย่างเช่น น้ำ ไม้ หินแร่ที่หายาก หรือแม้กระทั่งเพชรและทองคำ แต่สำหรับสสารที่มีโครงสร้างซับซ้อน ยังต้องอาศัยการพัฒนาต่อไปในอนาคต เราคาดว่าเครื่องนี้จะพัฒนาไปจนถึงขั้นที่สามารถสร้างอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ ราวกับเสกมาเลยทีเดียว แต่ก็มีบางอย่างที่เครื่องนี้ไม่อาจจะสร้างให้เราได้นะครับ มันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้โครงสร้างอะตอมของมัน นั่นคือ... ความรักไงครับ”

     เสียงฮาครืนดังทั่วห้อง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาเพิ่งเห็นเธอยิ้ม เพราะเธอนั่งหน้านิ่งตลอดเวลา

     “ในอนาคตเราจะสร้าง โลกพระศรีอาริย์  ขึ้นมาด้วยมือของเราเอง” เขากล่าวปิดท้าย


หลังจบการบรรยาย ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าไปพบวาริณที่ห้องทำงาน

     “มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ คุณ...?”

     “สายธารค่ะ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นองค์กรอิสระ ฉันเห็นปัญหาอย่างหนึ่งจากสิ่งประดิษฐ์ของคุณ การที่เราจะเชื่อมพันธะของอะตอมให้กลายเป็นสสารได้นั้น จะต้องใช้พลังงานอย่างมาก คุณจะเอาพลังงานจากที่ไหนมาสร้างสรรค์สิ่งที่คุณวาดฝันไว้ เพราะโลกมีพลังงานจำกัด น้ำมันก็กำลังจะหมดโลก พลังงานนิวเคลียร์ที่เรามีอยู่ก็ไม่สะอาด เพราะเป็นปฏิกิริยาแบบฟิสชัน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบฟิวชันมาใช้งานได้จริงเลย”

     “ถ้าพลังงานบนโลกไม่มี ก็ต้องออกไปหานอกโลก จริงไหม?” เขาหัวเราะ

     เธอทำสีหน้าไม่พอใจ ทำให้เขาหยุดหัวเราะ

     “เอ่อ... ขอโทษครับ คือ... ปัญหาข้อนี้พวกเรารู้ดีครับ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ พวกเรากำลังมีโครงการที่จะไปสำรวจหาแหล่งพลังงานจากนอกโลก ทางองค์กรของเราได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยทางดาราศาสตร์ สร้างโครงการค้นหาแหล่งทรัพยากรและพลังงานจากดาวดวงอื่น และค้นหาดาวเคราะห์ที่มีความเหมาะสมในการสร้างอาณานิคมเพื่อเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ให้กับมนุษย์ในอนาคต”

     “แล้วพวกคุณจะไปสำรวจกันที่ไหน?”

    “ดาวดวงนี้ชื่อว่า ธีตา 85 เป็นดาวเคราะห์ในระบบดาวธีตา เป็นบริวารลำดับที่ 85 จากจำนวนกว่าสองร้อยดวงของดาวฤกษ์ธีตา อยู่ในดาราจักรเอ็ม 33 ซึ่งอยู่ใกล้กับดาราจักรแอนโดรมีดา ห่างจากที่นี่ 2.4 ล้านปีแสง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8,583 กิโลเมตร”

     “ทำไมต้องเป็นดาวดวงนั้น?”

    “เราได้ข้อมูลมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นวรรณกรรมเก่าแก่กว่าหนึ่งร้อยปี เขียนขึ้นในยุคก่อนมหาสงคราม คุณคงทราบดีว่ายุคก่อนที่จะเกิดสงครามนั้น วิทยาการของมนุษย์ก้าวหน้ามาก การเดินทางสำรวจอวกาศดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่พอเกิดสงคราม หลายประเทศก็หันไปทุ่มเทกับการพัฒนาอาวุธเพื่อใช้ทำสงคราม มีการสร้างมนุษย์เทียมเพื่อใช้เป็นทหารแทนมนุษย์ ทำให้โครงการวิจัยและพัฒนาด้านอื่นๆ หยุดชะงัก สงครามได้ทำลายแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนเกือบหมด ทั้งหนังสือและฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มนุษย์ต้องมาเริ่มต้นฟื้นฟูวิทยาการกันใหม่หลังสงครามยุติ...”

     “นิยายเล่มนั้นเขาเขียนไว้ว่าอย่างไร?”

     เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นจากลิ้นชักใต้โต๊ะยื่นให้เธอ “ในหนังสือกล่าวถึงดินแดนแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากโลกหลายล้านปีแสง ที่แห่งนั้นยังมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งพลังงานที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด”

     “แล้ว... พวกคุณจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”

    “ตอนนี้เรากำลังคัดเลือกนักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆ เพื่อร่วมเดินทางไปกับเรา ในอีกสามเดือนข้างหน้า คุณสายธารต้องการไปกับพวกเราไหมครับ?”

     “เอ่อ... ฉันต้องกลับแล้วล่ะ หนังสือเล่มนี้ฉันขอยืมไปอ่านก่อนละกัน”

     เขาหยิบดอกไม้เทียมสีชมพูยื่นให้เธอ “เอาไว้คั่นหนังสือก็ได้นะ”

     “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้เขา แล้วก็เดินจากไป


สายธารนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ เธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     บนโต๊ะมีดอกไม้เทียมสีชมพูวางอยู่บนหนังสือปกแข็งสีน้ำเงินอมเขียวหนาราวสามร้อยหน้า ภาพหน้าปกเป็นภาพวาดของศิลปินในสมัยก่อน บนหน้าปกพิมพ์ชื่อหนังสือว่า น้ำตกแห่งนิรันดร์...


- 2 -

การเดินทางเพื่อค้นหาน้ำตกแห่งนิรันดร์กำลังจะเริ่มขึ้น


   ยานอวกาศที่คณะสำรวจใช้มีชื่อว่า ดิสคัฟเวอรี 18  เป็นยานอวกาศสีน้ำทะเลทั้งลำ ใช้สำรวจดาวเคราะห์ในระบบดาวต่างๆ ภายในดาราจักรทางช้างเผือกมาหลายปีแล้ว แต่ในครั้งนี้มันจะไปไกลกว่าสองล้านปีแสง

  ภายในยานดิสคัฟเวอรี 18 แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหน้าสุดเป็นห้องควบคุม รวมไปถึงห้องทำงานของนักวิทยาศาสตร์ ส่วนกลางเป็นห้องสันทนาการ เอาไว้พักรับประทานอาหารและนั่งพูดคุยกัน และในส่วนท้ายสุดเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ทุกคน

    คณะสำรวจประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ด้านต่างๆ รวมสิบแปดคน มีนักบิน ผู้ช่วยนักบิน วิศวกรยานอวกาศ นายช่างเทคนิค นักคอมพิวเตอร์ แพทย์ พยาบาล นักธรณีวิทยา นักชีววิทยา และมีหุ่นยนต์ประจำยานอีกหนึ่งตัว

    กัปตันของยานลำนี้เป็นชายวัยหกสิบ รูปร่างสูงใหญ่ ผมสีเทา ไว้หนวดเครา แววตาดุ น้ำเสียงดังกังวานน่าเกรงขาม เขาเป็นนักบินที่เก่งที่สุดของโลกในเวลานี้ กัปตันป้อนคำสั่งให้ยานอวกาศเดินทางโดยอัตโนมัติไปยังพิกัดที่ต้องการ ที่ดาวธีตา 85 ในดาราจักรเอ็ม 33

ยานอวกาศทะยานขึ้นฟ้าสู่ห้วงอวกาศอันมืดมิดและว่างเปล่า

   เมื่อเจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมงานของตัวเองเสร็จแล้ว บางส่วนก็มานั่งสนทนากันที่ส่วนกลางของยาน วาริณกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มสีน้ำเงินขุ่นอยู่คนเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา

     เธอวางหนังสือปกสีน้ำเงินอมเขียวลงบนโต๊ะ “ฉันเอาหนังสือมาคืนคุณ”

     “สักหน่อยไหม สายธาร?”

     “ขอบคุณ แต่ฉันไม่ดื่ม”

    “ไม่ต้องกลัว เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นน้ำผลไม้ธรรมดา สกัดจากสตรอเบอร์รี่สายพันธุ์ใหม่”

     “งั้น... สักหน่อยก็ได้”

     เขารินเครื่องดื่มให้เธอ “ถามจริงๆ ทำไมคุณถึงมากับพวกเรา?”

     เธอยกแก้วขึ้นดื่ม “มีอยู่สองเหตุผล”

     “เหตุผลแรกคืออะไร?”

     “ฉันอยากรู้ว่าตำนานน้ำตกแห่งนิรันดร์จะมีอยู่จริงไหม”

     “แล้วเหตุผลที่สองล่ะ?”

     “ฉันเบื่อโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษนี้เต็มทีแล้ว ได้ไปอยู่นอกโลกบ้างก็คงดี”

     “ไม่มีเหตุผลที่สามหรือ? อย่างเช่น... คุณมาเพราะว่า... คุณชอบผม?”

     เธอหัวเราะ “ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีก็ได้”

     “คุณรู้รึเปล่า? ทำไมเขาถึงตั้งชื่อหนังสือว่า น้ำตกแห่งนิรันดร์?” เขาถามเธอ

     “เขาตั้งชื่อตามภาพวาด?”

   “ใช่แล้วล่ะ คนที่เขียนอาจจะเป็นนักสำรวจอวกาศในสมัยก่อน เขาค้นพบแหล่งพลังงานที่มีมากมายมหาศาล แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นคืออะไร เขาก็เลยนำไปเปรียบเทียบกับภาพวาดของศิลปินท่านหนึ่งนามว่า มัวริทส์ คอร์เนลิส เอสเชอร์ ภาพวาดนั้นเป็นเรือนหินหลังหนึ่งมีกังหันน้ำและรางน้ำที่ไหลต่อเนื่อง ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด หากโลกนี้มีเรือนน้ำตกเช่นนี้จริง เราคงสามารถใช้พลังงานจากสายน้ำนั้นได้ชั่วนิรันดร์”

     “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีสิ่งใดที่ใช้ได้ชั่วนิรันดร์ ถึงจะนานแสนนานเป็นพันๆ ล้านปี ก็ไม่ใช่นิรันดร์"

    เธอชี้ไปที่ดวงดาวนอกยาน “ดวงดาวที่เห็นเบื้องนอกนั้น สักวันหนึ่งก็จะดับไปหมด เพราะ เอนโทรปีมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือทุกอย่างต้องไปถึงจุดจบ”

     “แต่บางทีมนุษย์อาจสร้างอะไรบางอย่างเพื่อทำให้มันไม่จบ”

     “ทำไม่ได้ เพราะสรรพสิ่งย่อมมุ่งเข้าสู่ความเสื่อมสลายตามอายุขัย”

     เขามองตาเธอ “แม้แต่ความรักก็ไม่ยั่งยืนงั้นหรือ?”

     “ใช่ค่ะ ไม่มีอะไรยั่งยืน”

     เขามองออกไปนอกยานเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ “ดวงดาวที่เราเห็นว่าสวยงามนั้น แท้จริงแล้วเมื่อเราเข้าไปใกล้ๆ กลับพบว่ามันเต็มไปด้วยอันตราย บางดวงมีอุณหภูมิสูงมาก สามารถแผดเผาเราให้มอดไหม้เป็นจุลได้ในพริบตา บางดวงก็แสนจะเยือกเย็น หนาวเหน็บจนเราทนไม่ได้ บางดวงก็แห้งแล้ง บางดวงก็มีก๊าซพิษ ดาวเหล่านั้นก็เหมือนกับผู้หญิงที่งดงาม เราไม่อาจรู้ได้ว่าเธอมีอะไรซ่อนอยู่ จนกว่าจะได้สัมผัสใกล้ๆ...”

     เธอมองตาเขา

     “...อย่างเช่น 'ดาววีนัส' ที่สวยงามมากเมื่อมองจากภายนอก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธอ เพราะเธอร้อนแรงเกินไป”

     “ถึงแม้เธอจะร้อนแรงเพียงใด ก็ยังมีคนยอมมอดไหม้เพราะหลงรักเธอ ไม่ใช่หรือ?”

     “นั่นน่ะสิ ความรักอาจทำให้เรามองไม่เห็นความจริงก็ได้”

     “แล้ว... สมมุติว่าฉันเป็นวีนัส คุณอยากเข้าใกล้ฉันไหมล่ะ วาริณ?”

     เขาหัวเราะเสียงดัง “ก็ไม่แน่นะ เพราะผมไม่กลัวไฟ...”

- 3 -

     ในมวลหมู่ดารา...............หมื่นแสน
     มีดินแดนแห่งหนึ่ง............ซ่อนอยู่
     มีผืนป่ากว้างใหญ่.............ไพศาล
     มีสายธารไหลริน..............ไม่สิ้นสุด
     มีสิ่งหนึ่งบริบูรณ์...............ตลอดกาล
     เรียกขานว่าน้ำตก.............แห่งนิรันดร์...


วาริณนั่งอยู่ที่ห้องส่วนกลางของยาน เขากำลังอ่านบทกวีท่อนแรกของนิยายน้ำตกแห่งนิรันดร์

     เขาปิดหนังสือ ทอดสายตาออกไปนอกยาน เห็นห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ดาวเปล่งแสงระยิบระยับเช่นที่เคยเป็นมานานแสนนาน รอบๆ ยานมีแต่ความเงียบสงบ ความมืดมิด และความว่างเปล่า ยานอวกาศเดินทางด้วยความเร็วสูงมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ามันกำลังเคลื่อนที่ เหมือนมันกำลังลอยนิ่งกลางห้วงมหาสมุทรแห่งจักรวาล

   เวลาผ่านไปหลายเดือน ปฏิบัติการค้นหาน้ำตกแห่งนิรันดร์ ของยานดิสคัฟเวอรี 18 ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มันเงียบสงบจนน่าแปลกใจ คล้ายกับความสงบของอากาศก่อนเกิดพายุใหญ่...

     “นั่งทำอะไรอยู่คนเดียว คุณวาริณ?” เสียงของใครคนหนึ่งทำลายความเงียบให้หายไปจากห้องนั้น

     เขาหันไปหาต้นเสียง “กัปตันเองหรือครับ คือ... ผมนอนไม่ค่อยหลับ...”

     “ถ้าอย่างนั้น ผมนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน”

     “ได้เลยครับ กัปตัน”

     “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับ คณะปฏิวัติ ไหม?” กัปตันถามเขา

     “รู้สิครับ คณะปฏิวัติที่ก่อตั้งโดยชนชั้นล่างซึ่งเป็นทาส พวกเขาต้องการปลดแอกตัวเองออกจากการเป็นหุ่นเชิดของชนชั้นปกครอง พวกเขาทำสงครามแบ่งแยกดินแดนกับพวกเรา เพื่อสร้างประเทศของตัวเอง และที่สำคัญ พวกนั้นต่อต้านโครงการนี้อย่างรุนแรง”

     “ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะต่อต้านเพื่ออะไร? โครงการนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสงครามเลยสักนิด”

     “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกนั้นอาจมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”

     “แล้ว... นักวิทยาศาสตร์สาวสวยที่ชื่อสายธารล่ะ?...”

     วาริณทำหน้าแปลกใจ “เปลี่ยนเรื่องเร็วจังนะ กัปตัน เธอก็... เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีคนหนึ่ง”

     กัปตันหัวเราะ “ระวังให้ดีนะ เพราะสายน้ำมักไหลไม่ค่อยแน่นอน บางครั้งก็สงบนิ่ง บางครั้งก็เชี่ยวกราก จนเราคาดเดาไม่ถูก”

     “ผมไม่กลัวหรอก เพราะผมก็เป็นน้ำเหมือนกัน”

     ทั้งสองคนหัวเราะเสียงดัง

     “ดอกไม้ยิ่งสวย พิษก็ยิ่งร้ายแรงนะ วาริณ...”


การเดินทางอันยาวนานใกล้สิ้นสุด ยานอวกาศเดินทางมาถึงระบบดาวธีตา อีกไม่นานพวกเขาก็จะถึงจุดหมาย

     “เราใกล้ถึงแล้วครับ กัปตัน” หุ่นยนต์ประจำยานพูดกับเจ้านายของมัน

     “ทำได้ดีมากเจ้าหุ่น งานของแกหมดแล้ว ต่อไป ฉันจะเป็นคนนำยานลงจอดเอง”

     “แต่งานของผมยังไม่เสร็จ ผมได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติภารกิจสุดท้าย...”

     กัปตันมีสีหน้าประหลาดใจ “งานอะไรหรือ? แต่ฉันยังไม่ได้ป้อนคำสั่งให้แกเลยนะ”

    “งานสุดท้ายของผมคือฆ่าทุกคนให้หมด แล้วทำลายยานลำนี้ให้สิ้นซาก เพราะผมเป็นหุ่นยนต์ของคณะปฏิวัติ!”

     กระสุนพุ่งจากปากกระบอกปืนของหุ่นยนต์โดยไร้เสียง เจาะเข้าที่ศีรษะของกัปตันและนักบินอีกสองคน พวกเขาตายในทันที แล้วมันก็เดินไปที่ส่วนท้ายสุดของยาน ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ มันลงมือฆ่าพวกเขาทีละคน ทีละคน...

     วาริณวิ่งหนีหุ่นยนต์ตัวนั้นมาที่ห้องส่วนกลางของยาน พบใครคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องนั้น

     “สายธาร! ผมดีใจที่คุณยังไม่ตาย หุ่นยนต์ตัวนั้นจะฆ่าพวกเรา เราสู้มันไม่ได้เลย เราต้องหนีไปจากที่นี่”

     “แล้วเราจะหนีไปยังไง?”

     “ไปกับยานบินฉุกเฉิน!...”

     เขาและเธอนั่งประจำที่บนยานบินฉุกเฉิน ยานลูกทะยานออกจากยานแม่อย่างรวดเร็ว เขาตั้งพิกัดไปที่ดาวเคราะห์ดวงที่ 85 ทั้งสองคนรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่มาจากด้านหลัง เป็นการระเบิดของยานดิสคัฟเวอรี 18 ยานอวกาศที่ยิ่งใหญ่ถึงจุดจบอย่างง่ายดาย

     “จบสิ้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ภารกิจของเราล้มเหลว” เขาคร่ำครวญ

     เธอกุมมือเขา “ยังไม่จบหรอก ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เราต้องไปให้ถึงดาวดวงนั้นให้ได้”

     ยานบินของพวกเขาทะยานมุ่งไปข้างหน้า สู่อนาคตอันมืดมนอนธการ...


ยานบินเดินทางมาถึงดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่ง ด้านที่หันหลังให้กับดวงอาทิตย์มีสีดำทะมึน มืดมิด และน่ากลัว

     “ถึงแล้ว... จุดหมายของเรา” วาริณพูด

     สายธารมองไปที่ดาวดวงนั้น “นี่เองหรือ ดินแดนในตำนาน...”

   ยานบินถูกแรงโน้มถ่วงมหาศาลดึงดูดยานให้บินต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งยานพุ่งกระโจนเข้าเสียดสีกับบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนั้น ยานดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว รอบๆ ยานเกิดเปลวไฟ ชิ้นส่วนรอบนอกหลุดออกทีละชิ้น เหมือนกับดาวตกร่วงหล่นจากฟ้า ตกลงไปสู่ความมืดมนบนแผ่นดินที่ไร้แสงไฟ พวกเขาไม่สามารถควบคุมยานได้เลย เกิดแรงสั่นสะเทือนจากการกระแทกกับพื้นสองครั้ง

     เมื่อนั้น สติสัมปชัญญะของวาริณก็ดับวูบไป...


- 4 -

เขามองเห็นแสงสว่าง เห็นท้องฟ้าสีฟ้า เห็นเมฆสีขาว เห็นต้นไม้สีน้ำตาล เห็นใบไม้สีเขียว

     “นี่ผมกลับบ้านแล้วใช่ไหม? หรือว่าที่นี่คือสวรรค์?” เขาพูดกับตัวเอง

     “ฟื้นแล้วหรือ วาริณ?” ใครคนหนึ่งเรียกเขา

     เขาลุกขึ้นนั่ง หันหน้ามองข้างๆ เห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง “ที่นี่เป็นสวรรค์จริงๆ ด้วย เพราะมีนางฟ้านั่งอยู่ตนหนึ่ง แต่... ทำไมนางฟ้าไม่มีปีกล่ะ?”

     เธอมองหน้าเขา แล้วก็ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร

     “ผมสลบไปนานแค่ไหน?”

     “หลายสิบชั่วโมง”

     “แล้วเราอยู่ที่ไหน?”

     “ที่นี่คือดาวเป้าหมายของเราไง ดาวธีตา 85”

     “เป็นไปได้ยังไง! ดาวดวงนี้มีป่าไม้เหมือนที่โลก มีบรรยากาศ มีออกซิเจนให้เราหายใจได้ มีท้องฟ้าสีฟ้า องค์ประกอบต่างๆ เกือบจะเหมือนโลกเลย เพียงแต่ว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองเบาลง”

    “ก็เพราะดาวดวงนี้มีขนาดเล็กกว่าโลก แรงดึงดูดจึงน้อยกว่า เราจึงรู้สึกว่าน้ำหนักของเราเบากว่าเมื่อตอนอยู่ที่โลก”

     “ดาวดวงนี้ เหมือนโลกของเราย่อส่วนลงมาเลยนะ”

     “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีดาวดวงอื่นที่มีทั้งพืชและสัตว์เหมือนโลกของเราแบบนี้...”

     “ดาวดวงนี้มีสัตว์ด้วยหรือ สายธาร?”

     “ฉันเดินสำรวจรอบๆ ซากยานบินของเราแล้ว สัตว์ของที่นี่ยังเป็นสัตว์ชั้นต่ำอยู่ ยังวิวัฒนาการไปไม่ถึงไหนเลย”

     “จักรวาลยิ่งใหญ่นัก เต็มไปด้วยเรื่องที่เราคาดไม่ถึงมากมาย แต่น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสได้กลับไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง...”

ทั้งสองคนเดินทางต่อไปอย่างไร้จุดหมาย ผ่านป่าไม้รกทึบ โดยที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเจออะไร

     “นี่เรากำลังจะไปไหน?” เขาถามเธอ

     “สิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีชีวิตรอดได้ ก็คือน้ำ มีน้ำก็มีชีวิต ดังนั้นเราต้องไปหาแหล่งน้ำ”

     “คุณรู้ได้ยังไงว่าดาวดวงนี้มีน้ำ?”

     “เพราะดาวดวงนี้มีป่าไม้ ถ้ามีป่าก็ต้องมีน้ำ ฉันเชื่อว่าจะมีแหล่งน้ำอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่านี้”

     “จริงด้วย ถ้าไม่มีน้ำ เราก็ไม่มีชีวิต...”

    “คนเรามุ่งมั่นไขว่คว้าสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ จนบางครั้งลืมไปว่าสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตรอดได้กลับกลายเป็นโมเลกุลง่ายๆ ที่เรียกว่า น้ำ 

     “คุณเสียใจไหม ที่ต้องมาลำบากบนดาวดวงนี้?”

     “ไม่หรอก ก็มันเป็นความต้องการของฉันเองนี่ แล้วคุณล่ะ?”

     “ถึงอย่างไรผมก็ต้องมา ดีใจที่มาถึงจุดหมาย แต่เสียดายที่คงไม่ได้กลับไปสร้างเครื่องยูโธเปียต่อ”

     “ไม่ต้องห่วง พวกเขาต้องมาสำรวจที่นี่อีกแน่ แต่คงอีกหลายปี”

     เขาหยุดเดิน แล้วเรียกเธอ “สายธาร”

     “อะไรคะ?”

     เขามองหน้าเธอ “ถ้าคุณเป็นวีนัส ผมขอเข้าไปอยู่ใกล้ๆ คุณได้ไหม?… เพราะผมชอบคุณ”

     เธอยิ้มตอบ “ได้สิคะ วาริณ...”


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่ดวงอาทิตย์ธีตาเคลื่อนที่ไปเพียงเล็กน้อย เป็นเพราะว่าดาวธีตา 85 หมุนรอบตัวเองช้ามาก

     สายธารได้ยินอะไรบางอย่าง “คุณได้ยินเสียงอะไรไหม วาริณ?”

     “เสียง?”

     “ใช่...”

  เขาพยายามเงี่ยหูฟัง “เสียงแบบนี้ มันคือ... เสียงที่เราคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก ไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้ว...”

     “เสียงน้ำตก!” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วก็รีบวิ่งไปยังต้นเสียง

     ยิ่งเข้าใกล้ เสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งสองวิ่งมาจนถึงต้นเสียงนั้น สิ่งที่เขาและเธอได้เห็นคือน้ำตกที่ใหญ่โตมโหฬาร น้ำจำนวนมหาศาลไหลลงมาจากหน้าผาสูงชัน ตกลงมากระแทกกับพื้นน้ำด้านล่าง จนเกิดเป็นละอองน้ำสีขาว และเห็นเป็นสีรุ้งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่าน

     “น้ำตกแห่งนิรันดร์มีอยู่จริง” วาริณพูด

     “ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่ใช้เปรียบเทียบ แต่มันคือน้ำตกจริงๆ”

    “ดาวดวงนี้เหมาะที่จะเป็นบ้านหลังใหม่ของมนุษยชาติมากที่สุด เพราะเราไม่ต้องปรับสภาพบรรยากาศเลย แถมยังมีแหล่งน้ำและพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ สามารถเข้ามาอยู่ได้ทันที”

    “แต่คงน่าเสียดาย ถ้าในอนาคตมนุษย์เข้ามาสร้างอาณานิคมที่นี่ มนุษย์ก็จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปจนหมด ป่าไม้และแหล่งน้ำก็จะเสื่อมโทรม แล้วสักวันหนึ่งมนุษย์ก็ต้องออกไปหาโลกใหม่อีก อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด...”

     “...ธรรมชาติมีให้เราเพียงพอสำหรับความต้องการทุกอย่าง แต่ไม่พอสำหรับความโลภของเรา”

     “คุณเคยบอกผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดสิ้นสุด แต่ผมคิดว่า คงจะมีแต่ความโลภของมนุษย์เท่านั้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด”

     เธอหันมาสบตาเขา “แล้ว... ดาวดวงนี้สมบูรณ์แบบพอที่จะเป็นโลกพระศรีอาริย์อย่างที่ใจคุณต้องการรึเปล่า?”

    “ผมเข้าใจแล้วว่า โลกที่มีกล่องวิเศษแบบในนิทานนั้น คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง เราอาจจะสร้างโลกที่มีแต่ความสุขได้ แต่เราคงอยู่ไม่ได้”

     “ทำไมล่ะ?”

     “เพราะเราคงอยู่ในโลกนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรคือความสุข สมมุติว่าเราอยู่ในโลกที่เราอยากได้อะไรก็ได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากมีเงินก็ได้เงิน แล้วอะไรล่ะคือความสุขในเมื่อทุกอย่างก็เป็นเรื่องปกติในโลกนั้น”

     “บางทีเราอาจจะต้องพบกับความทุกข์เสียก่อน เพื่อที่จะได้รู้รสชาติของความสุข...”

     วัตถุชิ้นหนึ่งหล่นลงมาจากเสื้อของสายธาร วาริณก้มลงหยิบมันขึ้นมา

     มันคือ ดอกไม้สีชมพู ดอกหนึ่ง เป็นดอกไม้สายพันธุ์ใหม่ที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากกระบวนการพันธุวิศวกรรมผสมผสานกับเทคโนโลยีทางวัสดุศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ เป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตในหลักการเดียวกันกับที่มนุษย์สร้าง ซีนอร์ก ขึ้นมา

     ซีนอร์ก (Synorg : Synthesis Organism) คือมนุษย์เทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยการโคลนนิ่ง มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกับมนุษย์ถึง 99% สมองของซีนอร์กเป็นปัญญาประดิษฐ์ มีประสิทธิภาพมากกว่าสมองของมนุษย์หลายเท่า มนุษย์ควบคุมพวกมันโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า กล่องควบคุม ซึ่งฝังอยู่ที่สมองของมัน โดยการป้อนคำสั่งไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วคอมพิวเตอร์ก็จะส่งสัญญาณไปที่กล่องควบคุม เพื่อสั่งการให้มันทำตามคำสั่ง รูปลักษณ์ภายนอกสร้างจากวัสดุสังเคราะห์ มีลักษณะเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ ซีนอร์กที่เป็นผู้หญิงจึงสวยงามไร้ที่ติ

     เขามีสีหน้าแปลกใจ “ดอกไม้นี้เป็นดอกเดียวกับที่ผมมอบให้คุณ?”

     “ใช่ค่ะ...”

     “คุณเก็บมันไว้กับตัวตลอดเวลา?”

     เธอไม่ตอบ แต่แววตาของเธอเป็นยิ่งกว่าคำตอบ

     “คุณมีเหตุผลที่สามจริงๆ ด้วย...” เขาสูดกลิ่นหอมจากดอกไม้ “...คุณมาที่นี่เพราะผม?”

     “ใช่ค่ะ ฉันชอบคุณ แต่... ฉันเสียใจที่...”

     แล้วร่างของเขาก็ล้มลงไป ดอกไม้หลุดออกจากมือ

    “...คุณต้องตาย!”

    เธอก้มลงหยิบดอกไม้ขึ้นมา “ฉันก็ชอบคุณ แต่งานของฉันสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัว...”

    “...ฉันทำงานให้กับคณะปฏิวัติ! เพราะฉันเป็นพวกทาส”

    เธอมองไปยังน้ำตกที่อยู่เบื้องหน้า “ดาวดวงนี้ไม่สมควรที่จะตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีแต่ความโลภอย่างพวกคุณ ที่แห่งนี้จะต้องเป็นอาณานิคมของเผ่าพันธุ์อย่างพวกฉัน”


   เธอสูดกลิ่นหอมจากดอกไม้! “ใครบอกว่าความรักสร้างขึ้นมาไม่ได้ ความรักของฉันที่มีให้คุณคือความรักที่ถูกโปรแกรมไว้แล้วตั้งแต่ต้น...”

     ละอองเกสรพิษไม่มีผลต่อเธอ?

     “...เพราะฉันเป็นซีนอร์ก!...”



ชยากร สงพราหมณ์

พิมพ์ครั้งแรก : Sci-Trek : A Journey of Discovery (2007)

จากหลังคา… สู่ผืนดิน



เช้าวันหนึ่ง... ตั้งใจไว้ว่าจะตัดต้นไม้ที่ปกคลุมหลังคา และกวาดเศษใบไม้ที่เกาะติดกระเบื้องซึ่งจับตัวกันเป็นแผ่นหนา ทำให้น้ำฝนไหลไม่สะดวก
     
     เริ่มตัดไปเรื่อยๆ เริ่มจากต้นตีนเป็ด ต้นมะม่วง ต้นกรรณิการ์ซึ่งถูกปกคลุมด้วยกาฝาก ถ้าปล่อยไว้คงจะกลายเป็นกาฝากไปทั้งต้น เรื่อยไปจนถึงต้นมะยม

     งานเกือบจะเสร็จ เตรียมตัวลงจากหลังคา เหลือบไปเห็นต้นมะยม กิ่งค่อนข้างใหญ่ จึงเดินเข้าไปเพื่อจะตัดออกเสีย แต่เพียงเสี้ยววินาที! ผมก็ร่วงลงมาจากหลังคา!...


     ผมลงมานอนอยู่บนพื้นดินใกล้โคนต้นมะยม กิ่งไม้ก็หักร่วงลงมาด้วย ข้างๆ เต็มไปด้วยเศษกระเบื้องและเศษใบไม้ ผมนอนมองขึ้นไปบนหลังคาอยู่หลายนาที คิดทบทวนสาเหตุที่ตัวเองตกลงมา อาจเป็นเพราะกระเบื้องเก่าแล้ว หรือเพราะน้ำหนักตัวที่มาก จนกระเบื้องรับไม่ไหว จึงแตกออกจากกัน แต่ก็โชคดีที่ไม่เจ็บมาก เพราะกิ่งมะยมช่วยพยุงไว้ แต่ก็ร้าวระบมไปทั้งตัว

     เหตุการณ์ที่ผ่านเลยมา ทำให้ได้เข้าใจ คนเราเมื่อขึ้นไปอยู่ที่สูง ควรระมัดระวังตัว เมื่อร่วงลงมาจะได้ไม่เจ็บปวดมาก อย่างน้อยก็ต้องมีอะไรช่วยพยุงตัวเองลงมา เพื่อจะได้ลงอย่างสง่างาม ยิ่งขึ้นไปสูง ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บ

     คนเรามีความอยาก ความทะเยอทะยาน ความมักใหญ่ใฝ่สูง อยู่ในตัวแทบทุกคน พยายามปีนป่ายเพื่อให้ตัวเองอยู่เหนือคนอื่น จนบางครั้ง ไม่รู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน แต่ทุกสิ่งในโลกไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ ก็ลงมาสู่ต่ำสุดได้เช่นกัน


     ปีนขึ้นไปสูงแค่ไหน สุดท้ายก็สลายไปกับผืนดิน...


     ช้าง งาชมพู

ความเชยที่ควรอนุรักษ์


ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยกองเอกสาร
ใกล้ๆ กันมีที่ใส่ปากกา และไม้บรรทัดเก่าๆ ที่ทำจากไม้อันหนึ่ง ซึ่งมีรอยแตกร้าว และมีคราบสกปรก ซึ่งควรจะทิ้งถังขยะได้แล้ว...

     ท่ามกลางความเงียบสงบ ผมได้ทบทวนความหลังของตนเองในเส้นทางการเป็นครูมากว่า 30 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ได้ผ่านพบเรื่องราวต่างๆ มากมาย ได้รับบทเรียนและประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี และสิ่งที่ยึดมั่นมาโดยตลอดคือ “ความซื่อสัตย์”

     ผมมองไปที่ไม้บรรทัดเก่าๆ อันนั้น ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ในโลกนี้จะมีใครบ้างที่ซื่อตรงได้ตลอดเวลา โดยไม่เคยเปลี่ยนแปลง?”...

     สภาพการณ์เปลี่ยนคนได้ แต่คนเปลี่ยนสภาพการณ์ไม่ได้ โลกเปลี่ยนแปลง คนเปลี่ยนตาม
มีสัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่า ทุกคนย่อมเห็นแก่ตัว ทำเพื่อตนเองก่อนเป็นอย่างแรก ในสังคมปัจจุบันคนทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองมากจนเกินไป จึงมองข้ามความถูกต้อง จริงอยู่ที่ทุกคนต้องรักตัวเองก่อน แต่ก็ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น และควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมบ้าง

     ความซื่อสัตย์ และความดีนั้น กลับกลายเป็น “ความเชย” การเอารัดเอาเปรียบ การใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายกลับกลายเป็นความเฉลียวฉลาด ที่ใครหลายคนอยากกระทำตาม

สุภาษิตที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด...คดกินไม่นาน” ปัจจุบันกลับกลายเป็น “ซื่อถูกกินหมด...คดอยู่ได้นาน” 

     สังคมที่มีความซื่อตรง ความจริงใจ และความเกรงกลัวต่อบาปหายไปไหน? คนคดโกงนั้นกลับถูกชื่นชม มีคนนับหน้าถือตา และอยู่ในสังคมอย่างสง่างาม ทำไมคนเรายังสนับสนุนคนที่คดโกง ทั้งที่รู้ว่าคนๆ นั้นไม่มีความซื่อสัตย์?…

     จงใช้ชีวิตโดยยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าสังคมขาดความซื่อสัตย์และความจริงใจให้แก่กัน สังคมคงจะไม่สงบสุขและร่มเย็นอย่างแน่นอน


ผมเก็บไม้บรรทัดอันนั้นไว้ใช้ต่อไป ถึงแม้มันจะเก่าและเชยแค่ไหน ก็ควรเก็บรักษาไว้...



เขียนโดย ช้าง งาชมพู , สิงหาคม 2002 / ปรับปรุงโดย ธีร์ ชัยกรณ์ , เมษายน 2010

ฟ้าสีดำ


ฟ้าสีดำ... เบื้องบน
มีแสงดาว... พราวพร่าง
ความหวังที่ปลายฟ้า
คือแสงสว่าง...

หัวใจของปวงชน
เหมือนแสงดาวบนฟ้า
ส่องแสงสว่างไสว
คือดาวแห่งความหวัง...

แด่ผู้คนที่ผันผ่าน
ในวงเวียนชีวิตอันทรมาน
จงเก็บดาวเหล่านั้น
แล้วเปล่งประกายด้วยตัวเอง...

ได้โปรดเข้ามาใกล้ฉัน
จงฟังบทกวีที่ขับกล่อม
และบทกวีอันแสนสั้นนี้
คือความงามของค่ำคืนฟ้าสีดำ...

โปรดเถอะเธอ... เข้ามาใกล้ฉัน
จงฟังบทกวีของฉันให้ดี
และบทกวีอันแสนธรรมดานี้
เพื่อความหวังของปวงชนใต้ฟ้าสีดำ...





















ธีร์ ชัยกรณ์
12 / 02 / 2008

จักรยาน / หิ่งห้อย / ไฟ



จักรยานแล่นเดียวดาย
ถนนยามราตรี
ทุกสิ่งมืดมิด


จักรยานแล่นเดียวดาย
ดวงไฟสีเขียว
หิ่งห้อยละลานตา


จักรยานแล่นเดียวดาย
ถนนยามราตรี
ทุกอย่างสว่างไสว


จักรยานแล่นเดียวดาย
ดวงไฟสีขาว
หิ่งห้อยหายไป


ธีร์ ชัยกรณ์
06 / 05 / 2006

ภูเขาซ่อนตัว

ภูเขาเจ้าเอย วันนี้แกหายไปไหน
ในวันที่ฝนตกหนักอย่างวันนี้
เป็นวันที่ฉันเศร้าหมอง และไม่มีใครให้พักพิง
เจ้าภูเขา... เราเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ
แกยังจำได้ไหม
ก็ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาอยู่ที่นี่
เราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนั้น
ฉันเฝ้ามองแกทุกวัน
แกอยู่ที่เดิมตลอด ไม่เคยไปไหน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมฆฝนสีดำเคลื่อนตัวมา
ท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง
เม็ดฝนเทลงมาจากฟ้า แล้วแกก็หายไป
เจ้าภูเขา... แกไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันนะ

ฉันเฝ้ารอแกนานแสนนาน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ฝนจะหยุดสักที
แต่ฉันก็ดีใจ เมื่อฝนเริ่มซา
แล้วแกก็กลับมาอีกครั้ง
แกมาพร้อมกับสายรุ้งที่สวยงาม
สายรุ้งหลากสี ทั้งสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง
ฉันยิ้มกับสิ่งที่เห็น และเข้าใจชีวิตมากขึ้น
เจ้าภูเขา... แกคงต้องการจะสอนฉันสินะ
สอนให้ฉันผ่านอุปสรรคโดยลำพัง
อดทนรอจนได้พบกันอีกครั้ง
สายรุ้งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง
มักจะมาหลังฝนตกเสมอ
มันสวยงามกว่าสายรุ้งที่คนสร้างขึ้นมา
สายรุ้งของแท้จากสายฝน
อย่างไรก็แตกต่างจากสายรุ้งปลอม ๆ
เพราะมันเย็นฉ่ำกว่า จริงไหม... เจ้าภูเขา















ภูเขาเจ้าเอย วันนี้แกหายไปไหนอีกแล้ว
ในวันที่ฝนตกหนักอย่างวันนี้...


ธีร์ ชัยกรณ์
06 / 08 / 2006