"นักการเมือง ตึกโทรมๆ และโสเภณี จะเป็นที่น่านับถือ ถ้าอยู่ได้นาน"
ส่วนประกอบที่สำคัญของภาพยนตร์ นอกจากฝีมือของผู้กำกับ การเข้าถึงบทบาทของนักแสดง และการออกแบบงานสร้างที่ดีแล้ว ส่วนที่มีความสำคัญมากอีกอย่างคือ "บทภาพยนตร์" เพราะเป็นตัวกำหนดแนวทางของเรื่อง โครงเรื่อง ลำดับเหตุการณ์ และการดำเนินเรื่อง เปรียบเสมือนเป็นกระดูกสันหลังของภาพยนตร์ เรียกได้ว่า หนังจะล้ม หรือจะยืนหยัดสู้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบทภาพยนตร์นี่แหละ
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างหนังที่มีบทสมบูรณ์แบบ ลงตัวที่สุดในวงการ เรื่อง Chinatown จะต้องเป็นหนึ่งในหนังที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างแน่นอน
เรื่องราวของนักสืบเอกชนชื่อ เจค กิตทิส อดีตนายตำรวจลอสแองเจลลีส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปฏิบัติงานอยู่แถวย่านไชนาทาวน์
วันหนึ่งเขาได้รับการว่าจ้างจาก คุณนายมัลเรย์ ภรรยาของ ฮอลลิส มัลเรย์ ผู้บริหารฝ่ายการประปาและพลังงาน ให้สืบว่าสามีของหล่อนนอกใจไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือไม่ แต่เมื่อเจคสืบจนได้ความ และส่งหลักฐานที่เป็นรูปถ่ายของฮอลลิสกับหญิงสาวคนหนึ่งไปให้นายจ้างของเขา แต่รูปนั้นกลับเป็นข่าวโด่งดังบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ เพราะฮอลลิสก็กำลังเป็นข่าวดัง กรณีที่เขาต่อต้านไม่ให้สร้างเขื่อน
เจคถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก เอเวอลีน มัลเรย์ ที่อ้างว่าเป็นภรรยาตัวจริงของฮอลลิส และคนที่ว่าจ้างในตอนแรกเป็นตัวปลอม! เรื่องเริ่มไม่ชอบมาพากล เจคจึงตามหาฮอลลิสเพื่อที่จะพูดคุยกับเขาโดยตรง เพราะเจคคิดว่า อาจมีคนคิดปองร้ายฮอลลิส แต่ไม่ทันที่เจคจะได้คุย ฮอลลิสกลับเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอย่างมีเงื่อนงำในอ่างเก็บน้ำ!
...
เปิดเรื่องมาก็ชอบตั้งแต่ตอนไตเติลเรื่องแล้ว ตอนที่เขาเอาเครดิตมาฉายก่อน เพลงประกอบกับธีมสีของแบ็กกราวด์เข้ากันดี ฉากมีดเฉือนจมูกก็เนียนมากๆ แล้วจะมีหนังเรื่องไหน ที่พระเอกมีผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ปิดจมูกอยู่เกือบครึ่งเรื่อง
ในเรื่องตัวละครทุกตัวล้วนมีสีเทาทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ขาวสะอาดหมดจด ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของฟิล์มนัวร์ นักสืบเจค ตัวเอกของเรื่อง ก็ยังสืบคดีด้วยวิธีที่สกปรก มีเล่ห์กล ไม่ตรงไปตรงมา
ส่วนเอเวอลีน ก็เป็นตัวละครที่มีความลึกลับซับซ้อน เธอมีความลับอยู่หลายชั้น หลายระดับที่คอยปกปิดอยู่ตลอดเวลา แม้เธอจะบอกความจริงบ้าง แต่เธอก็บอกไม่เคยหมด
มาทราบภายหลังว่าบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และในปัจจุบันก็ถูกใช้เป็นตัวอย่างในการสอนและสัมมนาเกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์
ข้าพเจ้าเห็นด้วยว่า เป็นบทหนังที่สมบูรณ์ และลงตัวจริงๆ เป็นหนึ่งในฟิล์มนัวร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจเป็นหนังแนวสืบสวนที่ดีที่สุดของ โรมัน โปลันสกี
ชื่อเรื่อง "ไชนาทาวน์" แต่โลเกชันในหนังก็ไม่ได้เกี่ยวกับไชนาทาวน์โดยตรง เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่คิด โลกแห่งความเป็นจริง มันซับซ้อนและหม่นหมองกว่าที่เราเห็น
...
Chinatown | 1974
Director: Roman Polanski
Screenplay: Robert Towne
Star: Jack Nicholson, Faye Dunaway
นิทานเลโอนาร์โด ดา วินชี
"คนเราชอบเก็บกระดาษที่รักษาคำมั่นสัญญา จึงควรเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้"
หอยนางรมตัวหนึ่งตกหลุมรักพระจันทร์ มันอ้าปากหวอดูพระจันทร์เป็นชั่วโมงๆ ส่วนปูก็รักหอยนางรม แต่เพื่อจะกินมัน
ปูตัวหนึ่งสังเกตว่า หอยนางรมอ้าปากหวอดีมากเมื่อพระจันทร์เต็มดวง มันจึงโยนก้อนหินเข้าไปในเปลือกหอยที่เปิดอ้าอยู่อย่างแม่นยำ ช่างร้ายเสียจริง! หอยนางรมพยายามหุบเปลือกแต่ไร้ผล เจ้าปูจึงได้ลิ้มรสของมันสมใจอยาก...
"เมื่อเจ้าอ้าปากเล่าความลับของเจ้า รู้ไว้เถอะว่า คนฟังที่เก็บความลับไม่เป็นกำลังรออยู่"
-- จากเรื่อง "หอยนางรมกับปู"
...
เลโอนาร์โด แห่งหมู่บ้านวินชี ผู้นี้เป็นบุคคลที่ได้รับการเชิดชูว่าเป็น "ผู้รอบรู้จักรวาล" (Universal Man) เพราะเป็นอัจฉริยะหลายด้าน เป็น 'นัก' อะไรต่อมิอะไรได้พร้อมๆ กันหลายอย่าง แต่โลกจะรู้จักเขาในฐานะจิตรกร ชาวอิตาลี ผู้วาดภาพ โมนาลิซา (Mona Lisa) และ อาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)
เขาเป็นอัจฉริยะแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้รอบรู้ศาสตร์หลายแขนง ทั้งด้านวิศวกรรม การแพทย์ พฤกษศาสตร์ คณิตศาสตร์ สถาปัตยกรรม รวมทั้งดนตรี แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ความสามารถในการเขียนหนังสือของเลโอนาร์โด ดา วินชี ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ ของเขาเลย
นิทานเลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นนิทานสั้นๆ แบบนิทานอีสป เล่าเรื่องของสรรพสิ่งในธรรมชาติ ทั้งสัตว์ พืช และสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยนำธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นมาผูกเป็นเรื่องราว และสรุปเป็นข้อคิดไว้ท้ายเรื่อง
ภาพปกหน้าของหนังสือ สื่อให้เห็นถึงเนื้อหาในเล่มอย่างชัดเจน เป็นภาพลีโอนาร์โดท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของนิทานชุดนี้ ส่วนปกหลังเป็นภาพหน้าหนึ่งจากสมุดบันทึกของเขา ที่เขียนจากหลังมาหน้า ประกอบภาพวาดกายวิภาคมนุษย์ พร้อมทั้งภาพเลโอนาร์โดที่เขาเป็นผู้วาดเอง
...
ยกตัวอย่างนิทานเรื่อง "หมึกกับกระดาษ"
...กระดาษแผ่นหนึ่งมีตัวหนังสือดำพืด วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ กระดาษขาวแผ่นอื่นๆ มันโกรธมากที่เห็นตนเองเปื้อนสีดำเลอะเทอะ และคิดว่าหมึกเป็นตัวการทำให้เปื้อน จึงหาเรื่องกับหมึกซึ่งแห้งแล้วว่า
"ทำไมถึงได้ทำกับข้าอย่างน่าละอายเช่นนี้ ข้าได้สูญเสียความขาวของข้าไป และไม่อาจเอามันกลับคืนมาได้อีกแล้ว ทำไมเจ้าถึงทำข้าสกปรกล่ะ"
หมึกตอบกระดาษว่า "เจ้าฟังนะ เจ้าต่อว่าข้าอย่างงั้นไม่ถูกหรอก ถ้าไม่มีข้า เจ้าก็เป็นแค่กระดาษ แต่เมื่อข้าวางอยู่บนตัวเจ้า มันกลายเป็นคำต่างๆ ซึ่งปากกาได้เขียนไว้ ตอนนี้เจ้ากลายเป็นสารที่ประกอบด้วยประโยคต่างๆ ข้านี่แหละกลับทำให้เจ้ามีประโยชน์ขึ้นมา"
จริงดังว่า ครู่หนึ่งก็มีคนเดินมายังโต๊ะ แล้วอ่านกระดาษซึ่งดำไปด้วยตัวหนังสืออีกครั้ง โดยไม่สนใจแผ่นกระดาษสีขาวทั้งหลายเลย...
เนื้อหาของนิทานเรื่องนี้แฝงปรัชญาไว้อย่างลึกซึ้ง คือ ถ้าเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกสีขาว บนกระดาษสีขาว เราคงอ่านไม่ออก และกระดาษก็ไม่มีคุณค่า แต่ที่เราอ่านได้ เพราะเขียนโดยใช้หมึกที่เป็นสีดำ นั่นคือคนเราไม่สามารถจะเก่งได้โดยลำพัง เรายังต้องอาศัยความร่วมมือของผู้อื่นเสมอ แม้แต่คนที่ต่างจากเราสุดขั้ว
สีดำก็หาใช่ความสกปรกเสมอไป โลกนี้ยังต้องมีทั้งขาวและดำ จึงจะเกิดความสมดุล
...
นิทาน เลโอนาร์โด ดา วินชี | 1997
เขียนโดย Leonardo da Vinci
แปลโดย ดารณี เมืองมา
สำนักพิมพ์ ดอกหญ้า