Vertigo

"หลงเงา"


ประเภท Mystery Romance Psychological Thriller
กำกับโดย Alfred Hitchcock
เขียนบทโดย Alec Coppel, Samuel A. Taylor
ดัดแปลงจากนวนิยาย "D'Entre les Morts" 

ชื่อภาษาอังกฤษ "The Living and The Dead" 
เขียนโดย Pierre Boileau, Thomas Narcejac
ตีพิมพ์ปี 1954
นำแสดงโดย James Stewart, Kim Novak
ปี 1958


เรื่องราวของนายตำรวจ จอห์น เฟอร์กูสัน หรือ สก็อตตี เขาเป็นโรคกลัวความสูง ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนตำรวจต้องเสียชีวิตในขณะไล่จับคนร้าย โดยมีฉากหลังคือเมือง ซาน ฟรานซิสโก และมีสัญลักษณ์สำคัญคือ สะพานโกลเดนเกท
โรคดังกล่าวทำให้เกิดอาการเวียนหัว หัวหมุน ทำให้ทรงตัวลำบาก เขาเกิดอาการนี้อยู่บ่อยครั้ง บวกกับอาการฝันร้ายจากเหตุการณ์นั้น จนเขาตัดสินใจลาออกจากงาน แต่ก่อนที่สก็อตตีจะวางมือจากอาชีพตำรวจ เขาได้รับการขอร้องจากเพื่อนเก่า เกวิน เอลสเตอร์ ให้ช่วยสะกดรอยและสืบเกี่ยวกับความผิดปกติของ เมเดอลีน ภรรยาของเกวิน เพราะกลัวว่าเธออาจมีอาการผิดปกติทางจิต และอาจจะฆ่าตัวตายเหมือนกับคนในตระกูลของเธอที่เคยทำในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลในความคิดของสก็อตตี


ในระหว่างที่สะกดรอยอยู่นั้น เมเดอลีนก็กระโดดลงไปในอ่าวซาน ฟรานซิสโกเพื่อฆ่าตัวตาย แต่เขาช่วยชีวิตเธอไว้ได้!

แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการของเมเดอลีนก็เหมือนจะแย่ลง เธอพยายามจะกระโดดลงน้ำอีกครั้ง สก็อตตีห้ามไว้ทัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะหน้าที่รับผิดชอบ แต่มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว เพราะเขาตกหลุมรักเมเดอลีน

ต่อมาสก็อตตีพาเมเดอลีนไปสถานที่หนึ่ง ซึ่งคล้ายกับที่เธอเคยเจอในฝัน เมเดอลีนวิ่งขึ้นไปบนหอคอย สก็อตตีวิ่งตามไป แต่ในขณะที่เขาพยายามจะเดินขึ้นบันไดเวียนเพื่อตามไปช่วยเธอนั้น อาการของโรคกลัวความสูงก็ตามมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง...

Vertigo เป็นหนังที่แฝงความหมายเอาไว้หลายอย่าง และซับซ้อน จำเป็นต้องดูหลายรอบถึงจะเก็บได้หมด ฮิทช์ค็อคสามารถผสมผสานเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ความฝัน ภาพในจินตนาการ และความหมกมุ่นลุ่มหลงในสิ่งที่ไม่มีตัวตนได้อย่างลงตัว เนียนไร้ที่ติ

เป็นหนังในอุดมคติของข้าพเจ้าด้วย เป็นหนังที่ดูแล้วชวนให้สงสัยตลอดเวลา ตัวละครน้อยๆ แต่มีเสน่ห์ชวนให้เราติดตาม ดำเนินเรื่องเรียบๆ มีการใช้ภาษาภาพมากกว่าบทสนทนา ใช้สัญลักษณ์สื่อความหมาย มีความโรมานซ์ปนแต่ไม่มากจนเอียน และเอาเรื่องลึกลับมาผสมกับความหลงของมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน แล้วหนังก็สามารถอธิบายเหตุผลในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเรื่องได้อย่างตรงไปตรงมา และน่าเชื่อถือ

ที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนที่เป็นโรคกลัวความสูงเท่านั้น แต่ยังได้เล่าเรื่องราวของคนที่ติดอยู่กับความลุ่มหลง

.....

ตำนานระทึกขวัญ Alfred Hitchcock


"ผมเป็นผู้กำกับที่มีแนวทางตายตัว ถ้าหากผมทำเรื่องซินเดอเรลล
ผู้ชมก็จะมองหาศพในรถฟักทอง"



ประเภท สารคดี อัตชีวประวัติ
เขียนโดย ประวิทย์ แต่งอักษร
ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2543
ฉบับปรับปรุงใหม่ปี 2556
สำนักพิมพ์ สตาร์พิคส์


ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช นักวิจารณ์และคนทำหนัง เคยเล่าว่า หลังจากที่เขากับ ฮิทช์ค็อคนั่งดื่มจนได้ที่แล้ว ก็พากันลงลิฟท์จากชั้น 25 เพื่อมาที่ล็อบบี้โรงแรม เมื่อลิฟท์หยุดที่ชั้น 19 มีคนเข้ามาในลิฟท์สามคน ฮิทช์ค็อคก็โพล่งออกมาดังลั่นว่า "เลือดมันไหลนองไปหมด เห็นแล้วช็อคจริงๆ!"
บ็อกดาโนวิชซึ่งรับมุกไม่ทันได้แต่ยืนงง แต่ฮิทช์ค็อคก็ยังพูดต่อไปเรื่อยๆ "เลือดมันไหลเป็นทางออกมาจากหู แล้วก็ออกมาจากปาก"
อีกสองคนเข้ามาในลิฟท์ ได้ยินประโยคต่อมา แล้วดูเหมือนว่าคนในลิฟท์จะเริ่มจดจ่อกับคำบอกเล่าของฮิทช์ค็อค "ผมมองไปที่ชายเคราะห์ร้ายแล้วก็พูดว่า พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับหมอนี่?!"

ลิฟท์ลงมาถึงล็อบบี้้ ฮิทช์ค็อคยังคงเล่าต่อไป "คุณรู้ไหมว่า เขาบอกอะไร?"
แล้วเขาก็หยุดนิ่ง บรรดาคนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากลิฟท์อย่างไม่เต็มใจ และมองไปที่ฮิทช์ค็อคซึ่งเดินตามออกมาด้วยท่าทางอยากรู้
หลังจากนิ่งเงียบไประยะหนึ่ง บ็อกดาโนวิชก็อดทนไม่ไหวจึงถามไปว่า "แล้วหมอนั่น บอกว่าอะไรครับ?" ฮิทช์ค็อคยิ้มอย่างมีความสุข แล้วพูดว่า
"อ๋อ ไม่ได้บอกอะไรหรอก นั่นมันก็แค่เรื่อง 'เหตุเกิดในลิฟท์' ของผมเท่านั้นเอง"

ฮิทช์ค็อคเป็นนักเล่าเรื่องชั้นยอด เขาสามารถเล่นกับนิสัย 'สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน' ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ได้อย่างเก่งกาจ

อัลเฟร็ด ฮิทช์ค็อค เป็นนักทำหนังชาวอังกฤษ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นหนังเงียบ และภาพขาวดำ เขาได้สร้างผลงานที่เป็นตำนานในฮอลลีวูดไว้หลายเรื่อง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือเรื่อง Psycho (1960) เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ ทั้งรายได้ และรางวัล ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนโลโก้ของฮิทช์ค็อค ที่คนทั่วไปมักจะนึกถึงเป็นเรื่องแรกๆ

เนื้อหาภายในเล่ม นอกจากจะมีประวัติส่วนตัวและการทำงานของฮิทช์ค็อคแล้ว ยังมีการบรรยายถึงสิ่งที่เป็น 'ลายเซ็น' ของผู้กำกับคนนี้ เช่น เทคนิคและกลวิธีนำเสนอที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของเขา, ข้อมูลผลงานทั้งหมด, รีวิวผลงานสำคัญๆ อย่างละเอียดยิบ, เกร็ดความรู้ต่างๆ, รวมทั้งหนังสมัยใหม่ที่มีกลิ่นไอ-อิทธิพล หรือได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังของฮิทช์ค็อค

หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้กับผู้ชมรุ่นใหม่ๆ นักเรียนภาพยนตร์ หรือนักดูหนังที่อยากจะทำความรู้จักกับคนทำหนังที่หลายคนยกย่องให้เป็นบรมครูหนังระทึกขวัญ ซึ่งถ้าเปรียบเป็นตำราเรียนวิชาหนึ่งในมหาวิทยาลัย ก็น่าจะมีชื่อเรียกว่า วิชา 'Hitchcock 101'

ตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ของ ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ ที่ว่า

ทรุฟโฟต์: Psycho เป็นงานระดับสากลจริงๆ เพราะเป็นหนังเงียบถึงครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดหนังประมาณสองม้วนไม่มีบทสนทนา นั่นช่วยลดปัญหาในการทำซับไตเติล หรือการพากย์ทับลงไปได้เยอะ

ฮิทช์ค็อค: คุณรู้ไหมว่า ในเมืองไทยเขาไม่ใช้ซับไตเติล หรืออัดเสียงทับหรอกนะ แต่เขาจะปิดเสียง แล้วให้ใครสักคนยืนอยู่ใกล้จอ คอยพากย์สดๆ ด้วยเสียงที่แตกต่างกัน
.....

Citizen Dog - หมานคร


"ยอดเชื่อว่า ถ้าเราตามหาอะไรบางอย่าง ยิ่งหาก็ยิ่งไม่พบ แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ มันจะออกมาหาเราเอง เหมือนนิ้วชี้ของยอดที่กลับมาหายอดเอง เหมือนเพื่อนแท้ที่ใครๆ ว่าหายาก แต่จู่ๆ ยอดก็ได้ป๊อดมาเป็นเพื่อน" ~ ยอด เพื่อนร่วมนิ้ว








































ประเภท Romance Comedy Fantasy
เขียนบทและกำกับโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง
บทภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง "หมานคร" เขียนโดย คอยนุช (ศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์)
นำแสดงโดย มหาสมุทร บุณยรักษ์, แสงทอง เกตุอู่ทอง
เสียงบรรยายโดย เป็นเอก รัตนเรือง
เพลงประกอบ "...ก่อน" ศิลปิน โมเดิร์นด็อก แต่งโดย ปฐมพร ปฐมพร
ปี 2004

เรื่องราวของ ป๊อด ชายที่ไม่มีความฝัน ใครๆ ต่างก็บอกเขาว่า ถ้าอยากมีความฝันและความรัก ต้องมาตามหาที่กรุงเทพฯ เขาจึงเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นพนักงานที่โรงงานปลากระป๋องแห่งหนึ่ง
แต่กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นอย่างที่ป๊อดคิด มันผิดปกติเกินไป มันเหงาและโหดร้าย
วันหนึ่งเขาเผลอตัดนิ้วชี้ของตัวเอง นิ้วถูกบรรจุในกระป๋อง ด้วยความกลัวว่าจะไม่มีโอกาสชี้นิ้วสั่งใคร เขาจึงออกตามหานิ้วไปทั่ว เมื่อเขาตามหานิ้วจนเจอแล้วเขาก็ตัดสินใจลาออกไปทำงานเป็นรปภ.ที่บริษัทแห่งหนึ่ง
และที่ทำงานใหม่นี้ ป๊อดได้พบกับสิ่งที่เขาขาดหายไป สิ่งนั้นมาอยู่ตรงหน้าเมื่อเขาหยุดตามหามัน สิ่งมหัศจรรย์สิ่งนั้นก็คือ จิน หญิงที่ไล่ตามความฝัน พนักงานทำความสะอาด ที่ชอบหมกมุ่นกับการทำความสะอาดและจัดการสิ่งของให้เป็นระเบียบตลอดเวลา เธอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เพราะเชื่อว่าจะทำให้เธออ่านหนังสือปกขาวเล่มหนึ่งที่ตกลงมาจากฟ้าออก

ป๊อดตกหลุมรักจินทันที ไม่ว่าจินจะทำอะไร โลกนี้มันช่างดูสวยงามไปหมด ทั้งผื่นที่ชอบขึ้นตามตัวจินเวลาขึ้นรถเมล์ ทั้งเวลาที่จินนั่งกระดิกขาตอนอารมณ์ดีก็น่ารักสำหรับป๊อด แต่จินไม่รักป๊อด เพราะว่าเขาไม่มี 'หาง' และไม่มี 'ความฝัน' เหมือนคนอื่นในกรุงเทพฯ...

"หมานคร" เป็นหนังที่เล่าเรื่องได้เรียบง่ายดี ดูสนุก มีอารมณ์ขันแบบตลกร้าย (Black Comedy) และมีจินตนาการที่เหนือชั้นมาก ภาพมีสีสันที่แปลกตา หนังยังสอดแทรกเนื้อหาที่เสียดสีวิถีชีวิตคนในเมืองใหญ่ แต่สาระสำคัญของเรื่องจะเกี่ยวกับ 'ความรัก' ซึ่งเป็นเรื่องที่คนดูไม่ว่าเพศไหนวัยไหนก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย
.....

แม่เภา

"ทุกคนมี แม่เภา อยู่ในตัว"

ประเภท เรื่องสั้น ความเรียง
เขียนโดย ประภาส ชลศรานนท์
ปี 2553
สำนักพิมพ์ เวิร์คพอยท์ พับลิชชิง

เรื่องราวของ แม่เภา หญิงวัยกลางคน นักหนังสือพิมพ์ในต่างจังหวัด คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับครอบครัวในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นคนรักความยุติธรรม และเกลียดการเอารัดเอาเปรียบกันในสังคมมากที่สุด แม่เภาเป็นคนโผงผาง เป็นคนเอาเรื่อง ใครทำอะไรไม่ถูกไม่ควร แม่เภาก็จะปะทะเอาซึ่งๆ หน้า แต่ไม่ถึงกับก้าวร้าว อีกทั้งเป็นคนชัดเจน เฉลียวฉลาดทันคน มองโลกในแง่ดีเสมอ จิตใจดี และมีอารมณ์ขัน

แม่เภามักมีวิธีการสั่งสอนคนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นในแบบ 'เกลือจิ้มเกลือ'
คนที่ถูกเอาเปรียบในบ้านเรา ไม่ค่อยมีใครกล้าลุกขึ้นต่อสู้ เพราะคนไทยเราเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย ใครทำอะไรเรา เราก็บอกเพียงว่า "ไม่เป็นไร"
แต่แม่เภาของเราไม่เป็นอย่างนั้น ใครทำอะไรไม่ดีต่อคนอื่น แม่เภาก็จะเข้าปะทะตรงๆ โดยทันที ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนต่างก็มี 'แม่เภา' อยู่ในตัว เพียงแต่บางครั้ง เราไม่กล้าพอที่จะต่อกรกับความไม่ยุติธรรมนั่นเอง เพราะคนไทยเป็นคนขี้เกรงใจ เรามักจะใช้ชีวิตประจำวันไปอย่างเดิมๆ โดยไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไร

แม่เภาจึงเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่กล้าต่อสู้กับคนที่ทำผิดต่อผู้อื่นในแง่ของความเป็นธรรม ไม่ใช่ในแง่ของกฏหมาย แม่เภาไม่เคยมองข้ามแม้กระทั่งความไม่เป็นธรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น คนขายหนังสือห่อหนังสือด้วยพลาสติกอย่างมิดชิด โดยไม่ยอมให้คนซื้อเปิดดูข้างในก่อน เป็นต้น

อยากให้โลกนี้มีคนอย่างแม่เภาเยอะๆ

.....