วรรณกรรมตกสระ


"โอ้ว่ากาลครั้งหนึ่ง มีเด็กน้อยตกฟากในวันจันทร์ เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นซึ่งเกิดวันนี้ ชื่อของเด็กคนนี้ไม่มีสระ เด็กน้อยเติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม และสุดท้ายกลายมาเป็นนักเขียน..."



ประเภท รวมเรื่องสั้น
เขียนโดย ภาณุ ตรัยเวช
ปี 2548
สำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์

หนังสือรวมเรื่องสั้นแนววรรณกรรมสะท้อนสังคม ซึ่งผ่านเข้ารอบหกคนสุดท้ายรางวัล Young Thai Artist Award 2004 ประกอบด้วยเรื่องสั้น 9 เรื่อง ซึ่งบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคมเมืองหลากหลายรูปแบบ ที่ดำรงอยู่ภายใต้ความเหงา การโหยหาความรักและความอบอุ่น

"วรรณกรรมตกสระ" เป็นเรื่องราวของนักเขียนคนหนึ่งซึ่งเกิดวันจันทร์และชื่อไม่มีสระ เขาเขียนเรื่องสั้นโดยไม่ใช้สระสักตัว! แน่นอน คนอ่านทุกคนโยนหนังสือทิ้งตั้งแต่ยังไม่จบย่อหน้าแรก
เขาบอกว่า "สระคือสิ่งกีดขวางการสื่อสาร แค่พยัญชนะ 44 ตัว น่าจะเพียงพอแล้ว อย่างฝรั่งยังใช้อักษร 26 ตัวสร้างสรรค์ภาษาขึ้นมาได้เลย"

ถึงเป็นนักเขียนบ้าๆ บอๆ ก็ยังมีผู้หญิงมาหลงชอบได้ เธอคนนั้นคือ ดอกสน
ดอกสนมาสมัครเป็นลูกศิษย์ด้วยความชื่นชม และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความรัก

วันหนึ่ง มีสำนักพิมพ์ใจกล้า (ไม่กลัวเจ๊ง) ติดต่อให้เขาเขียนนวนิยายเรื่องยาวออกมาสักเล่มหนึ่ง เขารับทันที เพราะเคยเขียนแต่เรื่องสั้น เป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนาตัวเอง แน่นอน มันคงเป็นนิยายที่ไม่มีสระสักตัว!
แต่เมื่อเขาใช้เวลาเขียน 'วรรณกรรมตกสระ' ของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดอกสนก็ดูเหมือนจะยิ่งห่างไกลกันไปทุกที...

ข้าพเจ้ารู้จักชื่อภาณุ ตรัยเวชครั้งแรก จากการได้อ่านเรื่องสั้นชื่อ "นักฉลาดมืออาชีพ" เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลชมเชย การประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ Nation Books Award ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องราวของประเทศไทยในอนาคตเมื่อปี พ.ศ. 2686 เนื้อหาสะท้อนภาพการแบ่งชนชั้น การศึกษา สิทธิเสรีภาพ มีการเมืองนิดๆ มีเรื่องศาสนาปนหน่อยๆ เป็นเรื่องสั้นที่ชอบมาก และคิดว่าสมบูรณ์แบบมากเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยได้อ่านมา

งานของผู้เขียนในเล่มนี้ หลายเรื่องมีความสดใหม่ ออริจินัลมาก แสดงถึงความพยายามแหวกขนบเดิมๆ ของเรื่องสั้นออกไป

ขอยกบางส่วนของ 'คำนำผู้เขียน' มาให้อ่าน เพราะเหมือนเป็นการบ่งบอกทิศทางของหนังสือเล่มนี้ และสะท้อนตัวผู้เขียนได้เป็นอย่างดี

"...กระจกมิเพียงสะท้อนภาพผู้สร้าง แต่ยังสะท้อนภาพใครก็ตามที่ส่องมัน ดังนั้นคนอ่านจึงตีความงานเขียนแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ ตามรูแคบๆ ที่แต่ละคนมองโลก นี่คือเสน่ห์ของงานเขียน นี่คือสาเหตุที่ใครก็มองไม่ออกว่าหนังสือคืออัตชีวประวัติ เพราะต่างก็เห็นเงาของตัวเองจ้องกลับมาจากบนหน้ากระดาษขณะที่เงาบนกระจกคือรูปลักษณ์ภายนอก เงาบนหนังสือสื่อว่าเราเป็นใคร ผู้เขียนคิดว่าคนเราควรส่องกระจกให้น้อยลง แล้วหันมาอ่านหนังสือให้มากขึ้น เพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง"

.....