Science Fiction

Sci-Fi หรือ นิยายวิทยาศาสตร์ คืออะไร?



ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ก็คือ 'เรื่องแต่ง' อันเกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์นั่นเอง 

นิยายวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) Hard Sci-Fi ได้แก่ นิยายวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้น

2) Soft Sci-Fi และ Sci-Fi Fantasy ได้แก่ นิยายวิทยาศาสตร์ที่เน้นผลกระทบของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อมนุษย์ โลก สิ่งมีชีวิตอื่นๆ และสภาพแวดล้อม
.....

เราต้องเข้าใจก่อนว่า...

"นิยายวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์"

จึงไม่สามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในนิยายวิทยาศาสตร์ไปอ้างอิงทางวิชาการได้ เพราะในนิยายวิทยาศาสตร์มักจะผสมผสานกับจินตนาการด้วยเสมอ

เราจึงไม่ต้องกังวลกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มากจนเกินไปจนขัดขวางจินตนาการของเรา เพียงแต่เราต้องมี 'หลักยึด' อย่างถูกต้องในการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ คือ

● อะไรที่เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว นิยายวิทยาศาสตร์จะบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้ เช่น แสงเดินทางเป็นเส้นตรงด้วยความเร็ว 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจบิดเบือนได้

ยกเว้นนิยายวิทยาศาสตร์จะแต่งให้มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้ข้อเท็จจริงนั้นเปลี่ยนไป เช่น มีพลังงานบางอย่างมาเบี่ยงเบนทิศทางของแสงไม่ให้เป็นเส้นตรง หรือมีความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไป หรือมีดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกจนระยะห่างจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงไป

● อะไรที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์จนได้ข้อสรุปแน่ชัด นิยายวิทยาศาสตร์สามารถใช้จินตนาการได้อย่างเต็มที่ เช่น วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า หากมียานอวกาศเข้าไปในหลุมดำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นิยายวิทยาศาสตร์จึงสามารถจินตนาการได้อย่างกว้างขวาง เช่น ยานอวกาศถูกทำลายกลายเป็นผุยผง หรือ หลุมดำกลายเป็นทางลัดไปสู่อีกจักรวาลหนึ่ง หรือหลุมดำเป็นเครื่องเดินทางข้ามกาลเวลา

● นิยายวิทยาศาสตร์สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างได้ เพื่ออรรถรสในการอ่านหรือการชม และเพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปได้ เช่น หากมนุษย์ถูกแมงมุมกัด ก็คงไม่สามารถทำให้กลายเป็นมนุษย์ที่มีพลังอำนาจพิเศษเหมือน Spider-Man ได้

แต่นิยายวิทยาศาสตร์ก็เจตนาบิดเบือนให้มันเป็นไปได้เพื่อความสนุกสนาน แต่ทั้งนี้ การบิดเบือนข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์จะต้องเป็นไปโดยเจตนา ไม่ใช่โดยความไม่รู้
.....

ที่มา: วรากิจ เพชรน้ำเอก | ชมรมนิยายวิทยาศาสตร์ไทย Thai Sci-Fi Group 

Coda

ภาพยนตร์แอนิเมชันสั้น ความยาว 9 นาที ของ And Maps And Plans Studio ซึ่งได้รับรางวัลมาแล้วหลายเวที


เรื่องราวเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ชายหนุ่มเสเพลคนหนึ่ง ด้วยความเมา เขาถูกรถชนตาย 
ต่อมา ชายคนนั้นซึ่งอยู่ในสภาพวิญญาณ ได้พบกับ ตัวความตาย หรือมัจจุราช
.....

เขาพยายามต่อรองให้มัจจุราชปล่อยเขาไปเสีย เพราะเขาอยากมีเวลาอยู่บนโลกอีกสักหน่อย แต่มัจจุราชยืนยันว่า เวลาของเขาได้หมดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงวิ่งหนี แต่ถึงจะหนีอย่างไร มัจจุราชก็ตามไปได้ทัน

เป็นสัจธรรมว่า อย่างไรเราก็หนีความตายไปไม่พ้น
.....


Coda | 2014
Director: Alan Holly
Screenplay: Alan Holly, Rory Byrne


วิดีโอ — vimeo.com/131376602

ที่มา: onemorepost.com

Miller’s Planet Scene


ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Interstellar (2014) 
ในขณะที่คูเปอร์และลูกเรือขับยานเรนเจอร์เดินทางเข้าใกล้ดาวมิลเลอร์ (Miller’s Planet)

คนดูจะมองเห็นหลุมดำ การ์แกนทัว (Gargantua) ซึ่งล้อมรอบด้วย Accretion Disk ที่สว่างไสว (ภาพบน)
แม้จะดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จริงๆ แล้วขนาดของการ์แกนทัวกลับเล็กกว่าขนาดแท้จริงที่ควรจะเป็นอย่างมาก เมื่อดูจากตอนต้นเรื่องที่หนังปูพื้นไว้ว่า ดาวมิลเลอร์นั้นโคจรอยู่ใกล้กับเส้นขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon) อย่างมาก เปรียบได้กับลูกบาสที่อยู่บนขอบห่วง (ภาพล่าง)
.....


มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?


Kip Thorne หนึ่งในโปรดิวเซอร์คนสำคัญ ได้อธิบายไว้ในหนังสือ The Science of Interstellar โดยเขาบอกว่า...

ถ้าดาวมิลเลอร์อยู่ใกล้กับการ์แกนทัวมากๆ จนกระทั่งเวลาช้าลงแบบสุดขั้ว ตำแหน่งของดาวมิลเลอร์จะต้องอยู่ใกล้กับหลุมดำนี้มากที่สุดเท่าที่วัตถุใดๆ จะสามารถโคจรอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ตกลงไปในหลุมดำ

สิ่งที่คนดูจะเห็นจริงๆ คือ หลุมดำการ์แกนทัวควรจะครอบคลุมพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของอวกาศรอบๆ ดาวมิลเลอร์ เราจะเห็น Accretion Disk อยู่ด้านบน และเงามืดดำอยู่ด้านล่าง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่กฎของไอน์สไตน์ได้ทำนายไว้

"ถ้าคริส (โนแลน) ทำตามสิ่งที่กฏของไอน์สไตน์กำหนดไว้ทั้งหมด มันคงจะทำให้ภาพยนตร์เสียอรรถรส"

การที่ได้เห็นภาพสุดมหัศจรรย์ตั้งแต่ต้นเรื่อง จะทำให้ฉากสำคัญของภาพยนตร์ นั่นคือฉากที่คูเปอร์เข้าไปในหลุมดำกลายเป็นฉากธรรมดาๆ ไปเลย

โนแลนตั้งใจจะเก็บฉากสำคัญนี้เอาไว้ในตอนท้ายเรื่อง ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ภาพของการ์แกนทัวเมื่อมองจากดาวมิลเลอร์มีขนาดที่ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ คือมีขนาดใหญ่เพียง 20 เท่าของดวงจันทร์เมื่อมองจากโลก

คิป ธอร์น ยังบอกอีกว่า แม้เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และต้องการความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์มากเพียงไร ก็ไม่อาจไปตำหนิโนแลนได้ ถ้าเขาจะต้องตัดสินใจเลือก ก็คงจะทำแบบเดียวกัน
.....

ที่มา: The Science of Interstellar
Kip Thorne เขียน
ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ แปล

Invisible Waves : คำพิพากษาของมหาสมุทร

"คลื่นในใจ ที่มองไม่เห็น"


ทะเลไม่เคยสงบนิ่งจริงๆ เลยสักครั้ง
ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน

ชีวิตของ เคียวจิ ที่เหมืือนจะราบเรียบ ก็เริ่มมีคลื่นมาถาโถม นับตั้งแต่เขาได้ฆ่าเซโกะ เมียของวิวัฒน์ เจ้านายของเขาเอง และเซโกะก็เป็นชู้รักของเขา!

...

เคียวจิเดินทางโดยเรือเพื่อไปกบดานที่ภูเก็ต บนเรือเขาพักในห้องแคบๆ ที่ไม่มีอะไรใช้การได้ตามปกติเลยสักอย่าง และมีชีวิตที่ลำบากกลางมหาสมุทร


ที่นั่นเขาได้พบกับ น้อย แม่ลูกอ่อนที่ไม่ค่อยสนใจลูกสาวของตัวเองเท่าไรนัก ทั้งคู่เริ่มผูกสัมพันธ์กัน จนกระทั่งเรือเทียบท่าที่ภูเก็ต


ที่ภูเก็ต เคียวจิเข้าพักในโรงแรมเก่าๆ และเร่ร่อนไปตามซอกตึกมืดสลัว บาร์ประหลาดๆ เขาถูกไล่ล่า ถูกซ้อม

และกำลังถูกพิพากษาโดยมหาสมุทร...

...


หนังสือรวมบทภาพยนตร์ ร่างแรกสุดและร่างที่สมบูรณ์ จุดเริ่มต้นก่อนนำไปสร้างเป็นหนังโดย เป็นเอก รัตนเรือง ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่กำลังศึกษาการเขียนบทภาพยนตร์ จะได้เห็นเป็นรูปธรรมเลยว่า ที่เขาพูดกันว่าบทเรื่องนั้นดี เรื่องนี้ไม่ดีนั้น ที่จริงแล้วบทหนังนั้น มีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะน้อยมากที่จะมีใครนำเอาร่างบทภาพยนตร์มาพิมพ์เป็นหนังสือ เนื่องจากบทหนังไม่เหมือนกับนิยาย ที่มีความงดงามทางวรรณศิลป์ให้ชวนอ่านและชวนติดตามมากกว่า


ปราบดา หยุ่น ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า...

"เนื้อหาสาระแบบฟิล์มนัวร์ ทำให้โลกบันเทิงน่าเอ็นดูขึ้น เพราะนอกจากนำความเพลิดเพลินมาสู่สายตา ฟิล์มนัวร์ยังสะท้อนด้านมืดของมนุษย์อย่างสะใจสมจริง

Invisible Waves คือ บทหนังนัวร์ร่วมสมัยที่อยากย้อนกลับไปพูดถึงประเด็นพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเรื่อง ความผิดบาป และความละอายใจ 

ผมไม่คิดว่าคนต้องทำตัวสมบูรณ์แบบจึงจะเรียกว่าน่ายกย่อง กระทั่งไม่ต้องกระเสือกกระสนที่จะเป็นคนดี หากมันเป็นผิดธรรมชาติหรือขัดกับสันดาน แต่หากทำชั่วแล้ว ความละอายใจ ความรู้สึกผิด ความต้องการหาทางไถ่บาป หรืออย่างน้อยคำว่าขอโทษ ก็น่าจะผุดโผล่ ขึ้นมาบ้าง

โลกมนุษย์คงจะโหดร้ายเกินกว่าจะน่าอยู่อีกต่อไป หากการทำร้ายกันและกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด กลายเป็นความชอบธรรมเพราะคนทำชอบทำไปเสียทั้งหมด

ความแตกต่างระหว่าง Invisible Waves ร่างแรกและร่างสุดท้ายที่รวมอยู่ในเล่มเดียวกันนี้ เป็นกรณีศึกษาที่ดีเกี่ยวกับการทำงานภาพยนตร์ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกๆ ปัจจัยผสมผสานกันลงตัว หรืออย่างน้อยพยายามผสมผสานกันจนสำเร็จ


ร่างแรกเป็นตัวผมมากกว่าร่างสุดท้าย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมคิดว่ามันดีกว่า สนุกกว่า หรือน่าจะได้ร้อยล้านมากกว่า ร่างที่ผ่านการปรับเปลี่ยนร่วมกันกับพี่ต้อมและคริส บทร่างสุดท้าย แม้จะไม่ใช่ตัวผมทั้งหมด แต่มันเป็นร่างที่ผมภูมิใจ ภูมิใจที่สามารถทำงานกับคนอื่น ภูมิใจที่ได้สร้างความสัมพันธ์ สร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งและมีค่ากับกลุ่มคนที่น่านับถือ และละอายใจที่บทร่างแรก ปราศจากคุณสมบัติแห่งมิตรภาพนั้นโดยสิ้นเชิง"

บทหนังเล่มนี้ยังคงถึงพร้อมด้วยวรรณศิลป์ที่งานวรรณกรรมพึงมี และชวนให้ผู้อ่านได้ขบคิดอย่างหนัก ตามสไตล์ปราบดา หยุ่น


...

Invisible Waves : คำพิพากษาของมหาสมุทร | 2006
เขียนโดย ปราบดา หยุ่น
สำนักพิมพ์ ระหว่างบรรทัด

Inside Job

"หนังที่ไม่อาจประเมินทุนสร้างได้"


หนังสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไป และเบื้องลึกของวิกฤติทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 

อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังที่เปิดโปงกระบวนการ 'โกง' ในแวดวงการเมือง การเงิน การธนาคาร ตลาดหุ้นวอลสตรีท และตลาดตราสารต่างๆ ของอเมริกา ที่แยกกันไม่ออก

เพราะทั้งหมดก็คือคนกลุ่มเดียวกันหรืออยู่ในเครือข่ายเดียวกัน!

หนังแบ่งเนื้อหาออกเป็นช่วงต่างๆ 5 ตอนด้วยกัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเมล็ดพันธุ์ร้ายที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นถึงการ สมรู้ร่วมคิด ของบรรดานักการเมืองและผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่นำไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจฟองสบู่ ก่อนจะแตกในเวลาต่อมา

หนังได้อธิบายสาเหตุอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมทั้งลงลึกไปถึงข้อมูลที่ปกปิด ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเป็นเชื้อโรคร้ายที่นำไปสู่ความวิบัติของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องโดยการนำข้อมูลมาอธิบายเปรียบเทียบพร้อมกับการตัดสลับวีดีโอบันทึกเหตุการณ์และบทสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้บริหาร อดีตนักการเมือง นักวิชาการ และนักคิดนักเขียน



ผู้สร้างถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดี แต่ดูตอนแรกๆ ยอมรับว่างงพอสมควร เพราะไม่คุ้นกับศัพท์ในวงการธุรกิจและการเงิน ในหนัง เราจะได้เห็นกระบวนการหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองของคนระดับสูง และการเอื้อประโยชน์ด้วยกันเองของเหล่าผู้มีอำนาจ


มีประโยคในหนังที่สะท้อนได้ดี เช่น...

"ชาวอเมริกันมากมายพยายามยกระดับฐานะทางการเงินตนเอง ถ้าไม่ใช่ด้วยการเพิ่มชั่วโมงทำงาน ก็จะเป็นการเพิ่มหนี้ให้ตัวเอง" 
(ด้วยการไปกู้ เอาเงินล่วงหน้ามาใช้นั่นเอง)

"ทำไมวิศวกรทางการเงินถึงมีรายได้มากกว่าวิศวกรจริงๆ? ทั้งที่วิศวกรจริง สร้างสะพาน แต่วิศวกรทางการเงิน สร้างเพียงฝัน แล้วหากวันใดที่มันกลายเป็นฝันร้าย เราก็ยังต้องจ่ายเงินให้กับมัน"


ดูแล้วก็รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของระบบทุนนิยม ที่ยิ่งเล่นกับเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น หากไม่วางกรอบกฏหมายให้รอบคอบ


ทำให้นึกถึงคำว่า พอเพียง ขึ้นมาทันที

...

Inside Job | 2010
Director: Charles Ferguson
Screenplay: Charles Ferguson
Narrator
Matt Damon